ความขัดแย้งทางด้านคดีความที่เกิดขึ้นระหว่างหน่วยงเฝ้าระวังด้านกฎระเบียบชั้นนำของสหรัฐอเมริกา SEC และ Ripple Labs ก่อนหน้านี้นี้ดูเหมือนว่าจะทำให้หลาย ๆ คนต้องรู้สึกหงุดหงิด และแม้ว่าทิศทางของคดีล่าสุดนั้นจะดูเป็นด้านบวกมากขึ้น แต่ความยืดเยื้อของคดีดังกล่าวที่กินเวลานานมากขึ้นเรื่อย ๆ นั้นดูเหมือนว่าจะทำให้หลาย ๆ คนเริ่มออกมาตั้งคำถามถึงความแน่นอนทางด้านกฎหมายในตอนนี้
Brad Garlinghouse CEO ของ Ripple เป็นหนึ่งในนั้น โดยในระหว่างการสัมภาษณ์ของ CNBC เมื่อเร็ว ๆ นี้ผู้บริหารของ Ripple ได้อธิบายการขาดความชัดเจนทางด้านกฎหมายคริปโตของสหรัฐฯว่า “น่าผิดหวัง” ในความเป็นจริง Garlinghouse นั้นได้ออกมาตัดพ้อว่ารัฐบาลสหรัฐฯ นั้นถือเป็นหน่วยงานเดียวในโลกนี้ที่มอง XRP ว่าเป็นหลักทรัพย์
“น่าตลกที่ในสหรัฐฯ พวกเขาไม่ออกมาเผยถึงความแน่นอนนี้ เป็นประเทศเดียวบนดาวดวงนี้ที่ออกมาบอกว่า XRP นั้นเป็นอย่างอื่น แต่ไม่ใช่สกุลเงิน ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น, อังกฤษ, สวิตเซอร์แลนด์, สิงคโปร์ พวกเขาต่างมองว่า XRP เป็นสกุลเงินหมด”
ซึ่งนั่นก็คือความจริงที่ไม่ได้ปรุงแต่งอย่างใด เนื่องจากว่าปัจจุบันรัฐบาลในประเทศชั้นนำอย่างญี่ปุ่น, สิงคโปร์ และสวิตเซอร์แลนด์นั้นต่างก็มีข้อกฎหมายด้านคริปโตที่ชัดเจน ต่างจากสหรัฐฯ ที่ยังคงมีความคลุมเครืออยู่นั่นเอง
ตัวอย่างเช่นหน่วยงานบริการทางการเงินของญี่ปุ่น [FSA] ถือว่า XRP เป็นสกุลเงินดิจิทัลตามคำจำกัดความของพระราชบัญญัติบริการการชำระเงิน
ในสวิตเซอร์แลนด์ตาม FINMA กฎหมายของสวิสไม่ได้กำหนดคำว่า cryptocurrency หรือสกุลเงินเสมือนคริปโตมีลักษณะเป็นหลักทรัพย์
นอกจากนี้นาย Garlinghouse ยังได้ให้สัมภาษณ์ชื่นชมประเทศสิงคโปร์และเกาหลีใต้ที่ให้การสนับสนุนเหรียญ XRP โดยเขากล่าวว่า
“ผมให้เครดิตกับพวกตลาดอื่น ๆ อย่างเช่นในสิงคโปร์ และเกาหลีใต้ที่มีรัฐบาลที่มีความคิดรอบคอบ เนื่องจากว่าพวกเขามีความพยายามในการร่างกฎหมายด้านคริปโตที่มีความชัดเจน”
อย่างไรก็ตามต้องสังเกตว่าผู้บริหารของ Ripple ยังคงมีอารมณ์ดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของการฟ้องร้องดังกล่าวข้างต้น เขาพูดว่า,
“ ก.ล.ต. กล่าวว่า XRP นั้นถือเป็นหลักทรัพย์ และตอนนี้พวกเราก็เผชิญหน้ากันในศาล ตอนนี้ผมรู้สึกดีเกี่ยวกับสถานการณ์ที่กำลังเป้นอยู่ แต่มันก็รู้สึกน่าหงุดหงิดเหมือนกัน”
นอกจากนี้นาย Garlinghouse ยังได้ออกมากล่าวว่าการขาดซึ่งข้อกฎหมายที่ชัดเจนเกี่ยวกับคริปโตในประเทศนั้นกำลังส่งผลทำให้มันมาขัดขวางการเกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ
“ นวัตกรรมที่นี่ในสหรัฐอเมริกาอยู่ในช่วงถูกทดสอบ พวกเราต้องการให้อุตสาหกรรมด้านคริปโตในสหรัฐฯ นั้นสามารถที่จะเติบโตและยั่งยืน”