เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ธนาคารกลางยุโรปได้เผยแพร่รายงานใหม่เกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเงินของสหภาพยุโรป ในรายงานเรื่อง Financial Stability Review (FSR) โดยได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นของ Bitcoin และสินทรัพย์คริปโตตัวอื่น ๆ
ในบริบทของเศรษฐกิจมุมกว้าง ๆ ECB ได้เขียนระบุว่า “สัญญาณของความอุดมสมบูรณ์” ในสินทรัพย์คริปโตอาจมีความเกี่ยวข้องกัน แต่ถึงกระนั้นมันยังมีความเสี่ยงของข้อจำกัดด้านเสถียรภาพทางการเงินอยู่
ธนาคารกลางยุโรปชี้ให้เห็นว่า คริปโตมีความเสี่ยงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย แต่รัฐบาลอื่น ๆ ก็สังเกตเห็นว่ากรณีใช้งานและมูลค่าธุรกรรมที่เพิ่มสูงขึ้นของมันเป็นภัยคุกคามต่ออำนาจอธิปไตยของพวกเขาได้
โดยเมื่อราคา Bitcoin และเหรียญคริปโตอื่น ๆ พุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดตลอดกาลเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมารัฐบาลอินเดียได้ขู่ว่าจะสั่งห้ามการใช้งานสกุลเงินคริปโตทั้งหมด รวมถึงรัฐบาลเกาหลีที่เพิ่งออกมากำหนดกฎระเบียบที่เข้มงวดภายในประเทศของพวกเขา
ธนาคารกลางยุโรปกล่าวว่าหนึ่งในประเด็นหลักของ Bitcoin และสกุลเงินดิจิทัลก็คือเรื่องความผันผวนและการเก็งกำไร โดยธนาคารได้เปรียบเทียบความคลั่งไคล้ของ Bitcoin และคริปโตกับช่วงวิกฤตฟองสบู่ดอกทิวลิป เมื่อช่วงทศวรรษที่ 16 – 17
“ การพุ่งขึ้นของราคา Bitcoin ได้แซงหน้าฟองสบู่ทางการเงินก่อนหน้านี้ เช่นความคลั่งไคล้ดอกทิวลิปและฟองสบู่ทะเลใต้ในช่วงทศวรรษที่ 1600 และ 1700” รายงานเขียนระบุ
“ ผลกระทบจากก๊าซคาร์บอนที่สูงเกินไปของ [Bitcoin] และการใช้งานที่อาจเกิดขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ที่ผิดกฎหมายเป็นเหตุให้ Crypto-assets ยังไม่ถูกนำใช้อย่างแพร่หลายในแง่ของการชำระเงินและสถาบันในยุโรปยังคงมีความเสี่ยงต่อสำหรับการใช้เครื่องมือทางการเงินที่เชื่อมโยงอยู่กับ crypto ดังนั้นความเสี่ยงด้านเสถียรภาพทางการเงินจึงมีข้อจำกัดในปัจจุบัน”
แม้ว่าปัจจุบันรัฐบาลยุโรปยังไม่ได้ดำเนินการใด ๆ เพื่อยับยั้งอุตสาหกรรมคริปโตที่กำลังเติบโต แต่พวกเขาได้มีการพัฒนากรอบการกำกับดูแลใหม่สำหรับสกุลเงินดิจิทัลมาตั้งแต่ปีที่แล้ว
และเช่นเดียวกับประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอื่น ๆ เช่นสหรัฐอเมริกาและจีน สหภาพยุโรปได้ให้ความสำคัญกับแนวคิดในการเปิดตัวสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลางในอนาคตอันใกล้นี้