<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

Nvidia เตรียมวางขายการ์ดจอรุ่นใหม่ RTX 3070 Ti และ 3080 Ti ตอนแรงขุด Ethereum เหมือนเดิม

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

Nvidia กำลังจะเปิดตัวการ์ดจอ 3070 Ti และ 3080 Ti รุ่นใหม่ พร้อมตัวจำกัด hash rate Ethereum ในตัว โดยจะมีการวางจำหน่ายในปลายเดือนนี้ ทางบริษัท Nvidia ประกาศถึงการรอคอยงานเปิดตัวในการ์ดจอรุ่นใหม่นี้ ซึ่งจะมีขึ้นระหว่างการสตรีมสด Computex 2021 ในวันจันทร์ และจะมีการเปิดเผยข้อมูลจำเพาะและวันที่วางจำหน่ายสำหรับทั้งสองรุ่น

สิ่งที่น่าสนใจเป็นพิเศษสำหรับผู้ชื่นชอบ cryptocurrency คือ การตัดสินใจของ Nvidia ที่จะเปิดตัวการ์ดที่มี built-in limiter ในตัว โดยมีจุดประสงค์เพื่อตอนแรงประมวลผล หากนำไปใช้ ขุด  Ether 

ก่อนหน้านี้บริษัทได้ให้คำมั่นที่จะสร้างการ์ดจอเฉพาะที่ออกแบบมาเพื่อการขุด Ether (ETH) และสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ โดยเฉพาะ โดยมีเป้าหมายเพื่อดึงดีมานด์ออกไปจากนักขุดคริปโต แต่การที่ Nvidia ยืนยันที่จะปล่อย GPU รุ่นใหม่ทั้งหมดที่มีตัว limiter คริปโตแสดงให้เห็นว่า แผนนี้อาจไม่ชัดเจนเท่าที่ควรในตอนแรก

ล่าสุด Nvidia ประกาศในรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ว่า ไม่สามารถวัดความต้องการที่มาจากนักขุดสกุลเงินดิจิทัลได้อย่างแม่นยำ แม้จะมีการขายการ์ดจอในตลาดมืดในราคาที่สูงกว่าร้านค้าปลีกถึง 300% แต่บริษัทก็มียอดขายในตลาดรองโดยประมาณอยู่แล้วหลายล้านดอลลาร์

ในขณะที่การ์ดจอรุ่น 3060, 3070 และ 3080 (รวมถึงรุ่น Ti) ทั้งหมดจะมีตัว GPU Lite Hash Rate (LHR) ที่มีการออกแบบมาพิเศษ แต่ Nvidia ไม่ได้กล่าวถึงการ์ดซีรีส์ 3090 แต่อย่างไรก็ตามรุ่น 3090 สะท้อนให้เห็นถึงราคาที่สูงกว่ากลุ่มผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของ Nvidia 

ยิ่งไปกว่านั้นจากการเปรียบเทียบรุ่น 3080 Ti และ 3090 เผยให้เห็นว่าทั้งสองรุ่นนี้มีความเหมือนกันมาก แต่จะต่างเพียงอย่างเดียวคือ 3090 บรรจุวิดีโอแรม 24GB เมื้อเทียบกับรุ่น 3080 ที่มี 12GB

ไม่ว่าบริษัท Nvidia จะดำเนินการอย่างไรในอนาคตอันใกล้นี้ ปัญหาด้านอุปทานที่เกี่ยวข้องกับนักขุดอีเธอร์มีแนวโน้มที่จะหายไปในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้า เนื่องจาก Ethereum จะย้ายออกจากอัลกอริธึมแบบ proof-of-work ไปสู่ proof-of-stake ซึ่งการ์ดจอจะไม่สามารถใช้ขุดเหรียญ ETH อีกต่อไป 

แม้ว่าสิ่งนี้ดูเหมือนจะลดมูลค่าของการ์ดจอในระยะยาว แต่ในระยะเวลาสั้น ๆที่เหลืออยู่นี้ นักขุดอาจพยายามทำกำไรจากการขุด ETH ซึ่งอาจส่งผลให้อุปสงค์เพิ่มขึ้นอีกครั้ง และอุปทานที่ตามมาจะขาดแคลน

ที่มา: cointelegraph