<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

ค่าแรงขุด Bitcoin ในจีนลดลง เมื่อรัฐบาลจีนเริ่มแบนการขุดในหลายเมืองแล้ว

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

การปราบปรามอุตสาหกรรมคริปโตเคอเรนซีของจีนยังคงดำเนินต่อไป โดยรัฐบาลระดับมณฑลใน Xinjiang และ Qinghai ได้เข้าร่วมกับมองโกเลียในในการแบนการขุดคริปโต ส่งผลให้ hash rate ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

รายงานของสื่อท้องถิ่นเปิดเผยว่า รัฐบาลท้องถิ่นของจังหวัด Changji ใน Xinjiang มีคำสั่งให้บริษัทเหมืองขุดคริปโตเคอร์เรนซี่ในพื้นที่ Zhundong ยุติการดำเนินงาน โดยทางบริษัทได้รับคำสั่งให้ปิดกิจกรรมการขุดคริปโตทั้งหมดภายในเวลา 14.00 น. เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน

รัฐบาลมณฑล Qinghai ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีนได้ออกประกาศเมื่อวันอังคาร  โดยสั่งให้หน่วยงานรัฐบาลท้องถิ่นปิดกิจกรรมการขุดคริปโตในพื้นที่ของตน

หลังจากการแบน mining pool ในจีนกำลังประสบปัญหา hash rate ที่ลดลง โดยในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา  AntPool และ Poolin ที่ตั้งอยู่ในจีนมี hash rate ที่ลดลงถึง 12% และ 4% ตามลำดับ นอกจากนี้ BTC.top ซึ่งเป็นหนึ่งใน mining pool รายใหญ่ของจีนเผยให้เห็นถึง hash rate  ที่ลดลง 35.9% ตลอดทั้งวัน

การแบนเริ่มขยายวงกว้าง

การเคลื่อนไหวล่าสุดของรัฐบาล Qinghai และ Xinjiang เกิดขึ้นหลังจากที่มองโกเลีย ซึ่งเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการขุด Bitcoin ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้ประกาศการขุดคริปโตก่อนหน้านี้ โดยมีผลบังคับใช้เมื่อเดือนที่แล้ว

เมื่อเร็ว ๆ นี้จีนยังได้ดำเนินการหลายอย่าง เพื่อควบคุมคริปโตเคอร์เรนซี่ในภาคส่วนต่าง ๆ ซึ่งมีจำนวนการหลอกลวง (scam) เพิ่มขึ้นอย่างมาก ทางกระทรวงความมั่นคงสาธารณะกล่าวเมื่อวันอังคารว่า มีผู้ต้องสงสัยมากกว่า 1,100 คนที่เกี่ยวข้องกับ scam เพื่อหลวงลวงเงินคนอื่นจาก cryptocurrencies และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน

Tony Tong ผู้บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง Hong Kong Blockchain Association ให้สัมภาษณ์กับ Forkast.News ว่า เขาจะแนะนำให้ทางการจีน “เปิดใจให้กว้างมากขึ้น เพื่อทำความเข้าใจอุตสาหกรรม” และตรวจสอบกิจกรรมมากกว่าขับไล่ผู้เล่นหลักให้ออกไป

Tong กล่าวว่า “นี่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศที่มีการขุด และยังเป็นการส่งเสริมการพัฒนาบล็อคเชนของประเทศเหล่านี้ด้วย” และเขาได้เสริมว่า BTC.com ได้ขอความช่วยเหลือจากสมาคมในการค้นหาเหมืองขุดในประเทศแคนาดาและสหรัฐอเมริกาอีกด้วย

Haohan Xu ซีอีโอของแพลตฟอร์มซื้อขายคริปโต Apifiny บอกกับ Forkast.News ทางอีเมลล์ว่า  “ข่าวดังกล่าวยังสะท้อนให้เห็นถึงการขยายตัวของการขุดคริปโตไปยังประเทศอื่น ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา รัสเซีย คาซัคสถาน และมาเลเซีย  และปริมาณของผู้ขุดที่เพิ่มขึ้นนอกประเทศจีนอีกด้วย โดยแพลตฟอร์มการซื้อขายบางแห่งเริ่มมีการขุด Bitcoin  เพื่อช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับเทรดเดอร์และหุ้นส่วนการแลกเปลี่ยน”

สวรรค์แห่งพลังงานน้ำ?

BTC.top ซึ่งเป็นเหมืองขุดคริปโตรายใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่ตั้งอยู่ใน Xinjiang, Yunnan และ Sichuan แต่ยังอยู่ในอเมริกาเหนือด้วย บริษัทได้บอกกับ Forkast.News ว่า พวกเขากำลังมุ่งเน้นไปที่การทำเหมืองขุดที่จังหวัดทางทางตะวันตกเฉียงใต้ของมณฑลเสฉวนของจีน เนื่องจากมีทรัพยากรไฟฟ้าพลังน้ำที่อุดมสมบูรณ์

ตัวแทนบริษัท BTC.top กล่าวว่า “เรากำลังย้ายไปที่มณฑลเสฉวน เนื่องจากมีอุปทานน้ำประปาอย่างมาก ดังนั้นเราจึงอาจได้รับประโยชน์จากค่าไฟฟ้าที่ลดลงได้” 

Meng Liu นักวิเคราะห์ด้านบล็อคเชนของบริษัทวิจัย Forrester ซึ่งเคยทำงานให้กับ Ripple ให้สัมภาษณ์กับ Forkast ว่า ในระยะสั้นนักขุดสามารถเปลี่ยนการดำเนินงานของตนไปยังภูมิภาคอื่น ๆ ในประเทศจีนได้ แต่นั่นไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ยั่งยืนในระยะยาว .

 เขากล่าวว่า “ไม่ช้าก็เร็ว เราจะเห็นการแบนขุดคริปโตในระดับประเทศทั่วทั้งประเทศจีน”

นอกจากนี้ Seen-Meng Chew ศาสตราจารย์แห่ง Chinese University of Hong Kong Business School ได้ให้สัมภาษณ์กับ Forkast.News ว่า พลังงานมหาศาลที่จำเป็นในการทำเหมืองคริปโต ถือเป็นข้อกังวลหลักสำหรับรัฐบาลจีน

“การขุดคริปโตนั้นขัดกับแผนของจีนในการมุ่งไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (neutral carbon) ภายในปี 2060” เขากล่าวว่า “มันเป็นกิจกรรมที่ใช้พลังงานมาก ดังนั้นก๊าซเรือนกระจกอาจถูกปล่อยออกมามากขึ้น อันเป็นผลมาจากกิจกรรมการขุดคริปโตที่ใช้พลังงานคอมพิวเตอร์จำนวนมาก”

ผู้นำจีน Xi Jinping ได้กล่าวกับที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติในปี 2019 ว่า จีนจะหยุดการปล่อยคาร์บอนที่เพิ่มขึ้นภายในปี 2030 และบรรลุความเป็นกลางของคาร์บอนภายในปี 2060 จีนซึ่งเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกได้เผยถึง “การควบคุมการใช้พลังงานและบรรลุความเป็นกลางของคาร์บอน” ลงในแผนห้าปีฉบับที่ 14 ซึ่งมีการเผยแพร่ในเดือนกุมภาพันธ์อีกด้วย

ความตั้งใจที่มุ่งไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (carbon-neutral) เป็นความทะเยอทะยานของจีน อย่างไรก็ตามจากรายงานของ Greenpeace ซึ่งเป็น NGO ด้านสิ่งแวดล้อมเผยว่า ประมาณ 60% ของไฟฟ้าที่ประเทศจีนมาจากโรงเผาถ่านหิน และปริมาณการใช้ไฟฟ้าในประเทศจีนยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ที่มา: forkast.news