จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศจีนซึ่งยังคงปราบปรามการขุดเหมืองบิทคอยน์ และบริษัทที่ให้บริการชำระเงินสำหรับธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับคริปโต โดยเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาทางรัฐบาลของจีนได้มีคำสั่งปิดเหมืองที่ใช้พลังงานไฟฟ้าจากพลังงานน้ำ ณ มณฑลเสฉวน กว่า 26 แห่ง ส่งผลให้มูลค่าการซื้อขายของบิทคอยน์ร่วงลงประมาณ 11% ซึ่งผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าการเคลื่อนไหวของราคานี้แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลขนาดใหญ่อย่าง จีนหรือสหรัฐฯ ยังคงมีอิทธิพลเหนือกว่าราคาของบิทคอยน์และคริปโตเคอร์เรนซีอื่น ๆ
Nassim Nicholas Taleb นักเขียน นักคณิตศาสตร์ และนักลงทุนชื่อดัง ได้ตีพิมพ์บทความวิจารณ์ชาวบิทคอยน์ว่ากำลังดูถูกภัยคุกคามจากรัฐบาลที่มีต่อคริปโตเคอร์เรนซี
“ด้วยธรรมชาติของมันแล้ว บิทคอยน์มีความโปร่งใส ความเชื่อในความสามารถในการซ่อนสินทรัพย์จากรัฐบาลด้วยบล็อกเชนสาธารณะ ซึ่งไม่ได้ถูกตรวจสอบได้แค่จาก FBI แต่รวมถึงผู้คนที่นั่งอยู่ใกล้ตัว ความเชื่อนี้จำเป็นที่จะต้องขาดประสบการณ์ทางการเงินรวมถึงความเข้าใจทางสถิติ หรือแม้แต่สามัญสำนึกทั่วไป”
ขณะเดียวกันหน่วยงานกำกับดูแลได้ส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่า พวกเขาจะยังคงออกกฎระเบียบเพิ่มเติมเกี่ยวกับพื้นที่ในตลาดคริปโต รวมถึงกฎใหม่ที่จะทำให้แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนและธนาคารมีระบบ KYC และกฎระเบียบต่อต้านการฟอกเงิน (AML) ที่เข้มงวดมากขึ้น
Gary Gensler ประธานสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) ได้กล่าวถึงความจำเป็นที่จะต้องมีการควบคุมแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนคริปโต เพื่อคุ้มครองนักลงทุน โดยเขากล่าวว่าคริปโตเคอร์เรนซีจำนวนมากในแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน ถือเป็นหลักทรัพย์ที่ไม่ได้จดทะเบียนซึ่งอยู่ภายใต้การบังคับใช้กฎหมายของ SEC
Sarah Brennan ทนายความของสำนักงานกฎหมาย Harter Secrest & Emery บอกกับ MarketWatch ว่าการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดกับบริษัทคริปโตเคอร์เรนซี ซึ่งขายหลักทรัพย์ที่ไม่ได้จดทะเบียนถือเป็นความเสี่ยงหลักต่อบริษัทเหล่านั้น
“มันน่าผิดหวังกับการทำงานในพื้นที่นี้ เพราะคุณไม่มีความชัดเจนในหลาย ๆ อย่าง รวมถึงการไม่พูดอะไรเกี่ยวกับวาระและลำดับความสำคัญในการบังคับใช้กฎหมาย” Brennan กล่าว พร้อมกับเสริมว่าตัวเธอประหลาดใจที่ก.ล.ต. ไม่ได้มีการดำเนินการบังคับใช้กฎหมายเพิ่มเติมกับบริษัทคริปโตเคอร์เรนซีที่ระดมทุนผ่านการประมูลโทเค็นของพวกเขา ซึ่งมักละเมิดกฎของรัฐบาลกลาง
ที่จริงแล้วเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา หน่วยงานกำกับดูแลได้ออกวาระและลำดับความสำคัญในปีหน้า และดูเหมือนว่าการออกกฎควบคุมคริปโตเคอร์เรนซีจะเป็นมีความสำคัญรองลงมาจากการกำกับดูแลอื่น ๆ อย่างกฎเกี่ยวกับความเสี่ยงของการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ
โดยผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าการกำกับควบคุม Stablecoins ซึ่งเป็นสกุลเงินเสมือนชนิดหนึ่งที่ใช้ค้ำมูลค่าของสินทรัพย์ และช่วยอำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนระหว่างสกุลเงินดิจิทัลและสกุลเงินอื่น ๆ อาจเป็นภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดต่อตลาดคริปโตเคอร์เรนซีในวงกว้าง
นักวิจารณ์หลายคนแสดงความคิดเห็นว่า การเติบโตของ Stablecoins อย่าง Tether, USD Coin, แลพ DAI นั้นมีความเสี่ยงต่อความมั่นคงทางการเงิน โดยเฉพาะหลังจากที่มีการเปิดเผยว่าโทเค็นที่ตรึงกับเงินดอลลาร์เหล่านี้ ไม่ได้หนุนด้วยเงินดอลลาร์จริง ๆ ซึ่งในเดือนกุมภาพันธ์ Letitia James อัยการสูงสุดแห่งรัฐนิวยอร์กได้มีคำสั่งแบนการใช้งาน Tether แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน Bitfinex ในรัฐ
ซึ่งหลังจากการสอบสวน Tether ได้เปิดเผยว่าสกุลเงินดังกล่าวไม่ได้มีการสำรองกับดอลลาร์สหรัฐฯ แบบหนึ่งต่อหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่มาจากการให้กู้ยืมระยะสั้น
“ภายใต้เงื่อนไขของข้อตกลง เราไม่ยอมรับการกระทำผิดดังกล่าว จำนวนเงินค่าปรับที่เราตกลงจ่ายให้กับสำนักงานอัยการสูงสุด ควรถูกมองว่าเป็นตัวชี้วัดถึงความปรารถนาของเรา ที่จะทิ้งเรื่องนี้ไว้ข้างหลังและให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจของเรา” Tether Ltd. แถลง
Tim Swanson ผู้ก่อตั้งบริษัทที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยี Frim Post Oak ได้แสดงความคิดเห็นว่า Stablecoins นั้นเป็น ‘ปรสิต’ เนื่องจากพวกเขามีการดำเนินการแบบตัวกลางทางการเงิน ซึ่งให้บริการเหมือนกับธนาคารพาณิชย์แบบดั้งเดิม แต่อยู่เหนือกฎระเบียบการควบคุมของธนาคารทั่วไป
พฤติกรรมแบบนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ผู้ถือเหรียญ Stablecoins ตกอยู่ในความเสี่ยง แต่ยังอาจคุกคามเสถียรภาพทางการเงินโดยทั่วไปได้ เนื่องจากการซื้อขายบิทคอยน์กว่า 75% เป็นการซื้อขายด้วย Tether ดังนั้นการล่มสลายของ Tether ก็อาจส่งผลต่อตลาดบิทคอยน์และคริปโตเคอร์เรนซีอื่น ๆ
อย่างไรก็ตาม Brennan กล่าวว่ายังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าหน่วยงานกำกับดูแลใดจะก้าวขึ้นมาแก้ปัญหาเหล่านี้ และโต้แย้งว่าหน่วยงานกำกับดูแลของทั้งธนาคารกลาง, SEC, และรัฐ มีอำนาจการควบคุมที่ทับซ้อนกัน ประกอบกับทางประธานาธิบดี Joe Biden ยังไม่ได้มีการเสนอชื่อผู้ที่จะเข้ามาดำเนินการในสำนักงานผู้ควบคุมเงินตราของสหรัฐฯ
“จะมีการต่อสู้แย่งชิงพื้นที่การควบคุม ทั้งก.ล.ต. และ CFTC ยังไม่มีใครพูดว่าพื้นที่นี้ควรอยู่ในการควบคุมของใคร ทั้งสภาคองเกรสและหน่วยงานกำกับดูแลของธนาคารกลาง จะต้องเข้ามาเพื่อแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับ Stablecoins จากความมั่นคงของตลาดและมุมมองด้านความปลอดภัย เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ออกตราสารมีภาระหน้าที่ในการควบคุมภายใน และพันธะในการเปิดเผยข้อมูล ที่จะไม่เพียงแค่ทลายลงและทำให้ตลาดขาดเสถียรภาพ”