<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

การนำ Bitcoin ไปใช้อย่างผิดกฎหมายล่าสุดใน Darknet ทำให้เกิดความกังวลขึ้นอีกครั้ง

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

หากอาวุธ, อาวุธชีวภาพ, ภาพลามกอนาจาร, และยาผิดกฎหมายยังไม่เพียงพอ ตลาดบน Darknet ได้เริ่มลงขายวัคซีนโควิด-19 เถื่อนที่ถูกขโมยมา และใบรับรองวัคซีนปลอมในแค็ตตาล็อกของพวกเขาแล้ว โดยลูกค้าที่เลือกใช้วิธีการฉีดวัคซีนที่ผิดกฎหมายเหล่านี้ก็ตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงเช่นกัน อ้างอิงจากรายงานของบริษัทด้านการสืบสวน Coinform

รายงานเผยว่าเหล่าอาชญากรกำลังขายวัคซีนโควิด-19 ที่ขโมยมาลงในตลาดมืดเพื่อแลกกับ Bitcoin โดยกลุ่มคนเหล่านี้ใช้ address รับเหรียญที่มีความเชื่อมโยงกับผู้ให้บริการผิดกฎหมายรายอื่น ๆ บน darknet อีกด้วย อาทิเช่น mixer (บริการปกปิดเส้นทางทำธุรกรรมคริปโต), บัตรเครดิตที่ถูกขโมยมา, ผู้ค้ายา และการหลอกลวงอื่น ๆ เกี่ยวกับ Bitcoin นอกจากนี้ทาง Coinform ยังระบุบุคคลเหล่านี้ว่าเป็นกลุ่มฉ้อโกงกลุ่มเดียวกันอีกด้วย

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ภาคสาธารณสุขต้องตกเป็นหมายโดยนักต้มตุ๋นด้านคริปโต ในช่วงปลายปีที่แล้ว มีโรงพยาบาลหลายสิบแห่งในสหรัฐฯ ถูกโจมตีโดยแรนซัมแวร์ และระบบดิจิทัลของพวกเขาถูกล็อคไว้ เส้นทางเดียวในการกู้คืนคือการจ่ายเงินในรูปของสกุลเงินดิจิตอลคืน

นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งจากรายการกิจกรรมที่ผิดกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ cryptocurrencies ทั่วโลก ซึ่งมันคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหากรัฐบาลนั้นจะพยายามหาทางออกกฎหมายออกมาเพื่อควบคุมและกำกับการใช้งานเหรียญเหล่านี้ โดยหยิบยกข้อนี้มาเป็นข้ออ้าง

เมื่อต้นปีนี้นาง Janet Yellen รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ได้ออกใสแสดงความเห็นกับ cryptocurrency ว่า

“ฉันคิดว่า [cryptocurrencies] จำนวนมากถูกใช้ อย่างน้อยก็ในแง่ของการทำธุรกรรม ที่ผิดกฎหมาย และฉันคิดว่าเราจำเป็นต้องตรวจสอบวิธีที่เราสามารถจำกัดการใช้มันได้ และทำให้แน่ใจว่าการต่อต้านการฟอกเงินจะไม่เกิดขึ้นผ่านช่องทางเหล่านั้น”

นอกจากนี้ ประธานธนาคารกลางยุโรป Christine Lagarde ได้กล่าวถึง Bitcoin ว่า

“มันเป็นสินทรัพย์ที่มีการเก็งกำไรสูง ซึ่งได้ดำเนินธุรกิจที่ผิดกฎหมาย และกิจกรรมการฟอกเงินที่สมควรถูกประณาม”

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขจากรายงานของ Chainanalysis นั้นดูเหมือนว่าจะบ่งบอกเรื่องราวที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง โดยเผยว่าอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับสกุลเงินดิจิทัลลดลงอย่างมากในปี 2020 กิจกรรมที่ผิดกฎหมายคิดเป็น 0.34% ของปริมาณธุรกรรมสกุลเงินดิจิทัลทั้งหมดในปีที่แล้ว ลดลงจากประมาณ 2% ในปีก่อนหน้า

อย่างไรก็ตาม รายงานระบุว่าในขณะที่การหลอกลวงและฉ้อโกงลดลง 72% แต่การโจมตีด้วยแรนซัมแวร์เป็นกิจกรรมเดียวที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ความนิยมในการใช้งานตลาด darknet มีการใช้งานลดลง 42% ในปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้อาชญากรรม Crypto ยังคิดเป็นเปอร์เซ็นต์เพียงเล็กน้อยของกิจกรรมที่ผิดกฎหมายด้านการเงินที่มีทั้งหมดบนโลกนี้ โดยอ้างอิงจากข้อมูลของสหประชาชาตินั้นเม็ดเงินจากอาชญากรรมด้านการฟอกเงินคิดเป็นราว ๆ 2% ถึง 5% ของ GDP โลก (1.6 ถึง 4 ล้านล้านดอลลาร์) ต่อปีเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินและกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย

กระนั้น หลาย ๆ คนก็โต้แย้งว่าการที่เว็บกระดานเทรดคริปโตบังคับให้ผู้ใช้งานทำ KYC ก่อนการใช้งานนั้นถือเป็นสิ่งที่สามารถป้องกันสิ่งนี้ได้ระดับหนึ่ง โดย RAND ชี้ว่า

“แม้จะมีการรับรู้ถึงความน่าดึงดูดใจของ cryptocurrencies เพื่อจุดประสงค์ในการฟอกเงิน . . แต่ธุรกรรมคริปโตเคอเรนซีประมาณ 99 เปอร์เซ็นต์ถูกดำเนินการผ่านเว็บกระดานเทรดแบบ centralized ซึ่งสามารถอยู่ภายใต้ระเบียบ AML/CFT ที่คล้ายกับธนาคารหรือการแลกเปลี่ยนแบบดั้งเดิม”

รายงานเดียวกันนี้ยังเน้นย้ำถึงการใช้ Zcash ที่เพิ่มขึ้นในการทำธุรกรรมบน darknet โดยเหรียญ Zcash นั้นทำให้ผู้ใช้งานสามารถปกปิดเส้นทางการธุรกรรมได้ อย่างมีความเป็นส่วนตัว เช่นเดียวกับสกุลเงินอื่นๆ เช่น Monero และ Dash เป็นสกุลเหรียญที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดสำหรับอาชญากร