โฆษกของธนาคารยักษ์ใหญ่จากสหรัฐฯ Wells Fargo แจ้งกับ Business Insider ว่าธนาคารเป็นสถาบันการเงินล่าสุดที่เปิดให้ลูกค้าที่มีเงินทุนมากพอสามารถซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซีและบิทคอยน์ผ่านธนาคารได้แล้ว
เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา มีรายงานว่าแผนกวิจัยการลงทุนของ Wells Fargo Wealth and Investment Management กำลังจะปรับใช้กลยุทธ์สำหรับการลงทุนบิทคอยน์และคริปโตเคอร์เรนซีที่มีการจัดการอย่างกระตือรือร้นกับนักลงทุนที่มีคุณสมบัติ
Business Insider รายงานว่า Darrell Cronk ประธานแผนกวิจัยของธนาคาร ได้พยายามค้นหาโซลูชันการจัดการอย่างมืออาชีพมาเป็นระยะเวลาหลายเดือน เนื่องจากความคลุมเครือของกฎระเบียบเกี่ยวกับบิทคอยน์และคริปโตเคอร์เรนซี ทำให้ Well Fargo ยังคงมีท่าทีที่ระมัดระวัง
Darrell Cronk ให้สัมภาษณ์กับ Business Insider ว่า “เราคิดว่าพื้นที่ของคริปโตเคอร์เรนซีมีวิวัฒนาการและการเติบโตพร้อมเต็มที่แล้ว ทำให้ตอนนี้มันจึงเป็นสินทรัพย์ที่สามารถลงทุนได้”
Cronk แสดงความคิดเห็นว่ามูลค่าตลาดมหาศาลของบิทคอยน์รวมกับคริปโตเคอร์เรนซีอื่น ๆ ทำให้ในมุมมองของเขามองว่าพวกมันถูกกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม Cronk ยังมองว่าการลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซี ยังคงเป็นการลงทุนทางเลือก ที่ใช้เพื่อกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน นอกจากนี้ยังไม่ชัดเจนว่าการลงทุนในบิทคอยน์ผ่าน Wells Fargo จะมีลักษณะเป็นอย่างไร
การลงทุนในบิทคอยน์ของ Wells Fargo เกิดขึ้นไม่กี่วันหลังจาก CEO ของ JPMorgan แสดงความคิดเห็นว่าลูกค้าของธนาคารกำลังมองว่าบิทคอยน์เป็นสินทรัพย์ประเภทหนึ่ง และต้องการลงทุนในบิทคอยน์ และก่อนหน้านั้นในเดือนมีนาคม บริษัทให้บริการทางการเงินระดับโลก Morgan Stanley ประกาศว่าจะเสนอโซลูชันให้ลูกค้าสามารถเป็นเจ้าของบิทคอยน์ได้
รายงานของทีมกลยุทธ์การลงทุนของ Wells Fargo เกี่ยวกับการลงทุนในบิทคอยน์และคริปโตเคอร์เรนซี เป็นการยืนยันถึงความเข้าใจของพวกเขาเกี่ยวกับอุปทานของบิทคอยน์
Cronk ให้ความเห็นว่า “เมื่อใดก็ตามที่คุณลดอุปทานของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แม้ว่าอุปสงค์จะเท่าเดิม ราคาของมันควรจะเพิ่มขึ้น เมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนจะเริ่มคุ้นเคยกับพวกมันมากขึ้น กลายเป็นกระแสหลักมากขึ้น ผมคิดว่าราคาจะเพิ่มขึ้นตามธรรมชาติ”
อย่างไรก็ตาม จนกว่า SEC จะอนุมัติให้จัดตั้งกองทุน ETF บิทคอยน์ Wells Fargo จะยังคงจำกัดการลงทุนไว้ในเฉพาะนักลงทุนที่มีคุณสมบัติรายได้รวมต่อปีมากกว่า 200,000 ดอลลาร์ หรือมีมูลค่าสุทธิมากกว่า 1 ล้านดอลลาร์ ตามข้อมูลจาก Business Insider