ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินบางคนเชื่อว่าราคาของ Cryptocurrency นั้นมาจากการเก็งกำไรของนักลงทุนเพียงอย่างเดียว และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผู้เชี่ยวชาญได้แนะนำว่าพันธบัตรหรือกองทุนนั้นไม่ควรเกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล ด้วยเหตุนี้กองทุนส่วนใหญ่จึงไม่ได้รับอนุญาตให้ลงทุนใน Bitcoin และ Altcoin
กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ แผนการเกษียณอายุ ตราสารหนี้ ตราสารทุนและกองทุนรวมหลายตลาดสามารถลงทุนในสินทรัพย์บางประเภทได้เท่านั้น ข้อจำกัดเหล่านี้เกิดขึ้นจากกฎระเบียบข้อบังคับที่เข้มงวดของกองทุน รวมถึงการประเมินความเสี่ยงของผู้บริหาร ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ Crypto จะไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นผลิตภัณฑ์ตัวเลือกของกองทุนในปัจจุบัน
ไม่ใช่ทุกกองทุนที่สามารถลงทุนในหุ้น Grayscale Bitcoin Trust ได้
ผู้จัดการกองทุนรวมส่วนใหญ่นั้นไม่มีอำนาจควบคุมการตัดสินใจลงทุนได้แบบเบ็ดเสร็จ เนื่องจากผู้บริหารกองทุนเป็นบริษัทภายนอกที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างผู้จัดการกองทุนและผู้ลงทุนเพื่อตรวจสอบและแจกจ่ายสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนเท่านั้น
ดังนั้นผู้บริหารกองทุนอาจตัดสินว่า หุ้นใดมีความเสี่ยงและจำกัดหรือปฏิเสธการเข้าถึงหุ้นดังกล่าว
โดยทั่วไปแล้ว ผู้จัดการสินทรัพย์ระดับโลกจะมีความเสี่ยงในตราสารหนี้อยู่ที่ 30% ถึง 60% ดังนั้นจึงไม่น่าจะมีความเสี่ยงใด ๆ กับคริปโตเคอเรนซี ซึ่ง Amundi บริษัทการลงทุนชั้นนำของยุโรปที่มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารกว่า 2.1 ล้านล้านดอลลาร์ถือเป็นตัวอย่างที่ดีในกรณีนี้
จากข้อมูลของ BCG Group มูลค่าอุตสาหกรรมสินทรัพย์ทั่วโลกได้พุ่งขึ้นทะลุระดับ 100 ล้านล้านดอลลาร์ โดยอเมริกาเหนือถือหุ้นทั้งหมดเกือบ 50% ของตัวเลขนี้ แต่น่าเสียดายที่นักวิเคราะห์ได้เชื่อมโยงตัวเลขเหล่านี้เข้ากับเครื่องมือกองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยน Bitcoin (ETF) แบบผิด ๆ
ตามรายงานจากสำนักข่าว Reuters มากกว่าครึ่งหนึ่งของพันธบัตรการลงทุนทั้งหมดในยุโรปขณะนี้ได้ซื้อขายโดยมีผลตอบแทนที่ติดลบ ซึ่งรวมถึงหนี้รัฐบาลมูลค่า 7.7 ล้านล้านดอลลาร์ที่คิดเป็น 70.8% ของหนี้ทั้งหมด
สำนักข่าว Financial Times รายงานว่า มูลค่าหนี้ที่ให้ผลตอบแทนติดลบทั่วโลกพุ่งสูงขึ้นทะลุ 16.5 ล้านล้านดอลลาร์ โดยได้รับแรงหนุนจากแนวโน้มในแง่ร้ายที่มากขึ้นของนักลงทุนและการซื้อพันธบัตรของธนาคารกลาง
นักลงทุนจะค่อย ๆ ผันตัวออกจากกลยุทธ์ตราสารหนี้
มีเหตุผลที่เชื่อได้ว่า นักลงทุนที่ได้รับผลตอบแทนจากกองทุนที่ติดลบจะผันตัวไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงมากขึ้นอย่างเช่น สกุลเงินดิจิทัล อย่างไรก็ตามนักลงทุนที่มีแนวโน้มมากที่สุดก็คือ นักลงทุนที่มีกระจายลงทุนในสินทรัพย์หลายตัวและการลงทุนทางเลือกแบบที่ไม่มีการใช้ Leverage เนื่องจากเครื่องมือเหล่านี้มักมีความเสี่ยงต่ำกว่าตราสารทุนและสินทรัพย์ที่มีโครงสร้างให้ผลตอบแทนสูง หรือพันธบัตร
ดังนั้นในที่สุด หาก Bitcoin ETF ได้รับการอนุมัติโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกามันก็จะเป็นการเปิดประตูไปสู่กองทุนจำนวนมาก
กองทุนสินค้าโภคภัณฑ์เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
ตามข้อมูลของ iShares มูลค่าของหุ้นทั่วโลกปรับตัวเพิ่มงขึ้นแตะระดับ 263,000 ล้านดอลลาร์ แต่เป็นที่สังเกตว่านี่ไม่ใช่ทุกกองทุนที่ระบุไว้ ดังนั้นมันจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงควรประมานการตัวเลขเหล่านี้ให้อยู่ในระดับสูงที่กว่า 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขึ้นไป
นั้นหมายความว่าการจัดสรรเงินทุนเพียง 1% จากสินทรัพย์ประเภทนี้จะมีมูล่คาเท่ากับ 5 พันล้านดอลลาร์ และเงินลงทุนดังกล่าวก็เพียงพอแล้วที่จะขับเคลื่อนราคาของ Bitcoin ให้สูงกว่าจุดสูงสุดตลอดกาลที่ระดับ 65,000 ดอลลาร์ของเดือนเมษายน
ดังนั้นหาก BTC ETF ได้รับการอนุมัติ การไหลเข้าของเงินทุนเหล่านี้ก็อาจเกิดขึ้นทันที หลังจากการประกาศ และตราบใดที่รัฐบาลหรือธนาคารกลางยังคงอัดฉีดสภาพคล่อง ซื้อพันธบัตร และออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ความต้องการ ETF ก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนสุดท้ายพวกเขาก็ต้องยอมให้การอนุมัติ BTC ETF และมันจะกลายเป็นตัวพลิกเกมที่สำคัญสำหรับราคา Bitcoin