ธนาคารกลางของสหรัฐฯ (FED) ได้ดำเนินการในขั้นตอนแรกในการออกสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDC) แม้ว่าเงินดอลลาร์ดิจิทัลนั้นยังคงห่างไกลจากความเป็นไปได้อีกหลายปีแม้ว่า FED นั้นตัดสินใจที่จะก้าวไปข้างหน้าด้วยแนวคิดนี้แต่ก็ต้องยอมรับว่า CDBC ของทางธนาคารกลางนั้นอาจสร้างความกังวลให้กับชุมชนคริปโตได้ไม่น้อย
ในรายงานฉบับใหม่ชื่อ “Money and Payments The U.S. Dollar in the Age of Digital Transformation” FED ได้สรุปปัญหาที่ CDBC จะได้เผชิญรวมถึงกลไกต่าง ๆ ที่จะใช้แก้ไขปัญหาเหล่านี้
รายงานระบุว่าการเปิดตัว CBDC จะแสดงถึงนวัตกรรมที่สำคัญในเรื่องเงินของอเมริกาแต่ยังคงระมัดระวังเกี่ยวกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับระบบการเงินของประเทศ
มีการนำเสนอ CBDC เพื่อเข้าถึงบริการทางการเงินที่ทั่วถึง, ขยายการเข้าถึงบริการชำระเงินดิจิทัล, ลดค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมและเพิ่มความเร็วในการโอนเงินและการทำธุรกรรมข้ามพรมแดน
อย่างไรก็ตามหากลองลงลึกในรายละเอียดของรายงานจะเห็นว่าผลประโยชน์เหล่านี้จะมีต้นทุนเพียงเล็กน้อยซึ่งดูเหมือนว่าพวกเขายินดีที่จะจ่าย
ก้าวแรกสู่ CDBC ของอเมริกาน่ากลัวกว่าที่คิด
ผู้กำหนดนโยบายและเจ้าหน้าที่ของ FED ได้ศึกษาเกี่ยวกับ CBDC มาหลายปีแล้วแต่จนถึงปี 2020 พวกเขาก็เริ่มพูดเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของเงินดอลลาร์ดิจิทัลมากขึ้นความพยายามจีนในการทดสอบและใช้เงินหยวนดิจิทัลได้เร่งให้เกิดการวิจัยของ FED เกี่ยวกับ CBDC แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ทำให้เราเข้าใกล้เงินดอลลาร์ดิจิทัลมากขึ้น
คริปโตได้รับการยอมรับไปทั่วโลกและในอเมริกาเองด้วยซึ่งนี่ก็เป็นปัจจัยในเชิงรุกสำหรับการวิจัย CBDC ในรายงานของ FED นั้นระบุว่า cryptocurrency “ยังไม่ได้รับการยอมรับเป็นทางเลือกการชำระเงินในวงกว้าง” ในสหรัฐอเมริกาแม้ว่ารายงานดังกล่าวจะพูดจริงเพียงใดแต่สิ่งที่รายงานล้มเหลวคือการไม่ได้คำนึงถึงบอขเบตของการนำคริปโตมาใช้ป้องกันความเสี่ยงจากเงิน fiat
อย่างไรก็ตามตณะที่ทำงานในนาม President’s Working Group on Financial Markets (PWG) ได้ยอมรับการนำ stablecoin ไปใช้ในประเทศในรายงานร่วมกับ Federal Deposit Insurance Corporation (FDIC) และ Office of the Comptroller of the Currency (OCC) PWG ระบุว่า stablecoin นั้นมีศักยภาพที่จะแทรกแซงระบบการขำระเงินในปัจจุบันและทำให้เกิดการกระจายตัวของอำนาจทางเศรษฐกิจ
แต่ด้วยความที่ขาดการควบคุมกฎระเบียบในพื้นที่และความยากลำบากในการดำเนินการตามกฎระเบียบดังกล่าวจึงเป็นเหตุที่ผลักดันให้ FED นั้นทำการค้นคว้าศักยภาพของ CDBC
หาก CBDC ของสหรัฐอเมริกาถูกสร้างขึ้นมันจะมีการปกป้องความเป็นส่วนตัว, ความเป็นสื่อกลาง, การโอนย้ายได้อย่างกว้างขวาและการยืนยันตัวตน รายงานกล่าว
อย่างไรก็ตาม คำว่า “การปกป้องความเป็นส่วนตัว” ดูเหมือน FED จะไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญมากเท่าไหร่ซึ่งมีการตั้งข้อสังเกตว่า CBDC จะต้อง “สร้างสมดุลที่เหมาะสม” ระหว่างความเป็นส่วนตัวและความโปร่งใสเพื่อยับยั้งการเกิดกิจกรรมที่ส่อไปในทางอาชญากรรม
ความเป็นสื่อกลางและยืนยันตัวตนของดอลลาร์ดิจิทัลจำเป็นต้องให้ FED ขยายบทบาทอย่างมากในระบบการเงินและเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหานี้ FED อาจจะจ้างภาคเอกชนเพื่ออำนวยความสะดวกในการจัดการการถือครองและการชำระเงินของ CBDC รวมถึงการตรวจสอบ
การนำบุคคลที่สามซึ่งเป็นบุคคลภายนอกเข้ามาสู่ระบบของ CDBC จะเป็นเหมือนการชักศึกเข้าบ้านโดยเฉพาะอย่างยิ่งอาจทำให้เกิดการทุจริต, การรวมศูนย์และการเซ็นเซอร์
อย่างไรก็ตามในรายงานไม่ได้รับรู้ถึงปัญหาเหล่านี้ แต่ตั้งข้อสังเกตว่า CBDC จะเปลี่ยนโครงสร้างระบบการเงินของสหรัฐฯ อย่างมาก ลดอำนาจของธนาคารเอกชนและเพิ่มความเป็นไปได้ในการดำเนินกิจการของธนาคาร
“ความสามารถในการแปลงเงินเป็นสกุลอื่นอย่างรวดเร็วรวมถึงการฝากเงินที่ธนาคารพาณิชย์เปลี่ยนรูปแบบให้เป็น CBDC อาจทำให้บริษัทการเงินดำเนินกิจการกันได้ดีมากขึ้น มาตรการดั้งเดิม เช่น การกำกับดูแลอย่างรอบคอบ, การประกันเงินฝากของรัฐบาลและการเข้าถึงสภาพคล่องของธนาคารกลางอาจไม่เพียงพอที่จะป้องกันกระแสไหลออกของเงินจำนวนมากที่ฝากธนาคารพาณิชย์เข้าสู่ CBDC ในกรณีที่เกิดความตื่นตระหนกทางการเงิน”
รายงานยังตั้งข้อสังเกตว่า CBDC อาจส่งผลต่อการควบคุมอัตราดอกเบี้ยโดยการเปลี่ยนแปลงปริมาณเงินสำรองในระบบธนาคารจากข้อเท็จจริงที่ FEd ตั้งข้อสังเกตว่าในปัจจุบันธนาคารต่างพึ่งพาเงินฝากเพื่อเป็นเงินทุนสำหรับเงินกู้ส่วนใหญ่ของพวกเขา CBDC อาจบอกได้เลยว่าเป็นภาระอันหนักอึ้งของผู้กู้
ดังนั้นวิธีแก้ปัญหาของ FED เป็นสิ่งที่น่ากลัวเอามาก ๆ
ตามรายงานบอกว่า CBDC อาจถูกออกแบบเพื่อให้ FED สามารถจำกัดจำนวนเงินดิจิทัลที่ผู้ใช้ปลายทางสามารถถือหรือจำกัดปริมาณของ CBDC ที่ผู้ใช้ปลายทางสามารถสะสมได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ
โดยพื้นฐานแล้วจะเป็นการจำกัดจำนวนเงินที่ประชาชนสามารถถือได้ ตัวเลือกการออกแบบนี้ทำให้ CBDC ที่ FED เสนอให้อยู่ห่างจากนวัตกรรมทางการเงินและเข้าใกล้ความเป็นเผด็จการทางเงินสำหรับการจะควบคุมระบบการเงินมากยิ่งขึ้น