ราคาของ Bitcoin นั้นดูเหมือนว่าจะมีความผันผวนตามวิกฤตสงครามระหว่างรัสเซีย และยูเครนในช่วงนี้อย่างมาก โดยภายหลังจากที่มันร่วงลงไปแตะระดับ 34,400 ดอลลาร์อย่างรุนแรง ล่าสุดดูเหมือนว่ามันได้มีการฟื้นตัวกลับมาแล้ว
กราฟ BTCUSD จาก TradingView เผยให้เห็นว่าราคาของ Bitcoin นั้นได้มีการกลับตัวขึ้นมาเมื่อช่วงเวลาประมาณตี 3 ของวันนี้ โดยได้พุ่งขึ้นไปหาจุดสูงสุดในรอบวันที่ 39,926 ดอลลาร์ ก่อนที่จะมีการย่อตัวลงมาเล็กน้อย
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาเราได้เห็นการร่วงลงของราคา BTC เนื่องจากความกลัวการเกิดสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน จนส่งผลทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกต้องอยู่ในสภาวะการเทขายด้วยความกลัว ซึ่งไม่เว้นแม้แต่ Bitcoin ที่ร่วงลงไปแตะ 34,425 ดอลลาร์
ในขณะเดียวกันตลาดพลังงานและสินทรัพย์ safe haven อย่างเช่นทองคำและน้ำมันนั้นกลับดีดสูงขึ้นมาสวนทางตลาดโลก ก่อนที่จะเริ่มมีการขยับตัวลง
สิ่งนี้บ่งบอกอะไรได้หลายอย่าง อย่างแรกนั้นก็คือผู้คนเริ่มที่จะตระหนักว่าเมื่อเกิดสงครามนั้น สิ่งที่จำเป็นมากที่สุดก็คือสินทรัพย์ปลอดภัยที่สามารถถูกเคลื่อนย้ายได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งยังสามารถที่จะถูกเก็บไว้อย่างปลอดภัยโดยที่คนอื่น ๆ ไม่สามารถแย่งหรือขโมยจากผู้ถือไปได้ และ Bitcoin ก็ตอบโจทย์ทั้งสองสิ่งนี้มากกว่าทองคำ
ผู้คนแห่บริจาค Bitcoin ให้กองทัพยูเครน
ในขณะเดียวกัน นอกเหนือจากการใช้ Bitcoin ของรัสเซียเพื่อหลีกเลี่ยงการคว่ำบาตรจากชาติตะวันตกแล้วนั้น ล่าสุดทางฝ่ายยูเครนก็มีความพยายามนำเอา BTC มาใช้เพื่อช่วยเหลือทหารเช่นกัน
รายงานล่าสุดจาก Decrypt เผยว่าในปี 2564 ที่ผ่านมามีการบริจาค Bitcoin ประมาณ 570,000 ดอลลาร์ ให้กับกลุ่มสนับสนุนทหารของยูเครน แต่ในวันนี้เพียงวันเดียว BTC เกือบ $400,000 ถูกส่งไปยังหนึ่งในองค์กรเหล่านั้นที่มีชื่อว่า “Come Back Alive” ตามการวิเคราะห์จาก Elliptic บริษัทวิเคราะห์บล็อคเชนในอังกฤษ
“กลุ่มนี้ให้การสนับสนุนกองทัพยูเครนด้วยการสนับสนุนทหารของพวกเขา” เจส ซิมิงตัน หัวหน้าทีมวิจัย Elliptic บอกกับ Decrypt ทางโทรศัพท์ “พวกเขาได้รับเงินบริจาคจำนวนเล็กน้อยมากตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2564 ซึ่งมันไม่มากนัก อาจประมาณ $4 หรือ $5K ต่อเดือน และทันใดนั้นมันก็พุ่งสูงขึ้นตั้งแต่ประมาณวันที่ 22 กุมภาพันธ์”
จากมุมมองของรัฐบาลยูเครน พวกเขาจำเป็นต้องมีเงินทุนอย่างเร่งด่วน เมื่อวันพุธที่ผ่านมา หลังจากกองกำลังรัสเซียที่สะสมตัวที่ชายแดนมาเป็นเวลาหลายเดือน ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ประกาศสงครามกับยูเครน โดยเรียกการบุกรุกดังกล่าวว่าเป็น “ปฏิบัติการทางทหารพิเศษ”
องค์กรในยูเครนเริ่มใช้กลยุทธ์คราวด์ฟันดิ้งในปี 2014 เมื่อประธานาธิบดีวิกตอร์ ยานูโควิช ซึ่งร่วมมือกับรัสเซียถูกปลดออกจากตำแหน่งระหว่างการปฏิวัติไมดัน ตอนนี้เป็นเรื่องธรรมดาที่กลุ่มอาสาสมัครและองค์กรพัฒนาเอกชนจะระดมทุนสำหรับอาวุธและเวชภัณฑ์ที่ทหารสามารถใช้ได้ นอกจากนี้ Come Back Alive ยังมีหน้าเพจ Patreon เป็นของตัวเองเพื่อเปิดให้คนช่วยกันบริจาคอีกด้วย
องค์กรมักจะรับเงินในหลาย ๆ รูปแบบที่พวกเขาสามารถหาได้ง่าย ตัวอย่างเช่น Wikipedia เริ่มรับบริจาค Bitcoin ในปี 2014 ควบคู่ไปกับธุรกรรมบัตรเครดิตและ PayPal แต่เมื่อเส้นทางการชำระเงินแบบดั้งเดิมถูกตัดออกไป เช่นเดียวกับกรณีที่มีการบริจาคของ GoFundMe ที่ส่งไปยังผู้ประท้วงในขบวนรถของแคนาดาเมื่อเดือนที่แล้ว กลุ่มต่างๆ สามารถพึ่งพา crypto ได้มากขึ้น ธุรกรรมผ่านคริปโตแบบเพียร์ทูเพียร์สามารถเลี่ยงธนาคาร, สถาบันการเงิน และแม้กระทั่งการควบคุมของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม อาจจำเป็นต้องแลกเปลี่ยนเป็นเงินสดเป็นครั้งคราวเพื่อจะมีประโยชน์มากที่สุด
เมื่อ Decrypt พูดกับ Elliptic นั้น Come Back Alive ได้รับการบริจาคแล้วประมาณ 370 รายในวันพฤหัสบดี โดยจำนวนเงินเฉลี่ยต่อรายอยู่ที่ $1,000 ถึง $2,000 ตามข้อมูลของ Symington
รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมของยูเครนกล่าวไม่สามารถรับบริจาคเป็น Bitcoin ได้
แม้จะมีความพยายามขึ้นมาดังกล่าว แต่อีกรายงานหนึ่งจาก Cryptobriefing ก็เผยว่าพวกเขาไม่สามารถรับเงินบริจาคเป็น Bitcoin หรือว่า Paypal ได้
กระทรวงกลาโหมในยูเครนได้รับการสอบถามจำนวนมากจากชาวต่างชาติที่ต้องการบริจาค เนื่องจาก “กฎหมายแห่งชาติ” ทำให้กระทรวงกลาโหมของยูเครนไม่สามารถรับบริจาคผ่านระบบทางเลือกเช่น Bitcoin หรือ PayPal
ด้วยเหตุนี้ กระทรวงกลาโหมจึงได้เปิดบัญชีธนาคารสำหรับการบริจาคสกุลเงินต่างประเทศ “เนื่องจากมีการร้องขอจำนวนมากจากบุคคลและนิติบุคคลที่ไม่ใช่พลเมืองของยูเครน” ที่ต้องการบริจาคให้แก่ กระทรวงกลาโหม โดยกล่าวว่าเงินบริจาคดังกล่าวสนับสนุนกองกำลังติดอาวุธของประเทศยูเครน ทั้งในด้านการสนับสนุนด้านลอจิสติกส์และทางการแพทย์
บัญชีธนาคารที่อนุญาตให้บริจาคจากต่างประเทศได้ถูกสร้างขึ้นตามคำร้องขอจำนวนมากจากผู้ที่ต้องการบริจาคเท่านั้น ผู้ที่ต้องการสนับสนุนโดยตรงต่อหน่วยทหารและสถาบันที่มีส่วนร่วมในความขัดแย้งกับรัสเซียจะต้องติดต่อผู้บังคับบัญชาหรือหัวหน้ากลุ่มเหล่านั้นโดยตรง