Elon Musk ถูกแทนที่ในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของ Twitter ภายในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมงหลังจากประกาศเสนอซื้อหุ้นที่เหลือด้วยมูลค่ากว่า 4.3 หมื่นล้านดอลลาร์
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ (SEC) เปิดเผยว่า Vanguard Group ซื้อหุ้นแซงหน้า Musk ด้วยการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท
เมื่อวันที่ 8 เมษายน Vanguard ถือหุ้น 82.4 ล้านหุ้นหรือ 10.3% ของบริษัท เทียบกับสัดส่วนการถือหุ้นของ Musk ที่ประมาณ 9.2%
การเปิดเผยดังกล่าวเกิดขึ้นเนื่องจากความล้มเหลวของ Musk ในการเปิดเผยการถือครองของเขาต่อสาธารณะชนซึ่งทำให้เกิดการฟ้องร้องดำเนินคดีแบบกลุ่มโดยผู้ถือหุ้นของบริษัท ทั้งนี้ผู้ถือหุ้นกล่าวว่า Musk Tesla ได้ “แถลงการณ์และทำให้เข้าใจผิด” โดยไม่เปิดเผยว่าเขาได้ลงทุนใน Twitter ภายในวันที่ 24 มีนาคมตามที่กฎหมายของรัฐบาลกลางกำหนด
เจ้าชาย Alwaleed bin Talal แห่งซาอุดิอาระเบียได้เพิ่มความคิดเห็นของเขาเมื่อวานนี้บนทวีตว่า “ฉันไม่เชื่อว่าข้อเสนอที่เสนอโดย Elon Musk มาใกล้เคียงกับมูลค่าที่แท้จริงของ Twitter เมื่อพิจารณาถึงแนวโน้มการเติบโต” ซึ่งปัจจุบันเจ้าชายถือหุ้น 4.4% ใน Twitter
Musk แสดงความสงสัยในตนเอง
ตอนนี้ Musk เองเริ่มสงสัยว่าเขาประสบความสำเร็จแล้วหรือไม่ โดยบอกผ่านงานประชุม TED2022 ที่แวนคูเวอร์ว่า “ฉันไม่แน่ใจว่าฉันจะได้มันมาจริง ๆ”
Musk กล่าวในงานว่า Twitter ควรเปิดกว้างและโปร่งใสมากขึ้น โดยย้ำว่าการส่งเสริมเสรีภาพในการพูดเป็นแรงจูงใจของเขาในการซื้อแพลตฟอร์ม
“ผมคิดว่ามันสำคัญมากที่จะต้องมีเวทีที่มีเสรีภาพทางการพูด เนื่องจากที่ผ่านผมเคยถูกนักลงทุนเรียกว่านักพูดเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด”
หากการเสนอของ Musk ได้รับการยอมรับเขาจะพิจารณาปรับเปลี่ยนแนวทางของแพลตฟอร์มที่เป็นปัญหา รวมถึงการทวีตหลอกลวง crypto จากบอท
“สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ฉันต้องทำคือการกำจัดบอทสแปมและสแกม”
Musk ยังเน้นย้ำว่า Twitter ต้องเป็นโอเพ่นซอร์สและเข้าถึงได้แบบสาธารณะ ซึ่งตามรายงานของ Washington Post ยืนยันว่าบริษัทได้ดำเนินการตามเส้นทางนั้นมาระยะหนึ่งแล้ว
อย่างไรก็ตาม Musk ยังได้กล่าวอีกว่าเขานั้นไม่ได้สนใจเรื่องการเงินแม้จะเข้าซื้อ Twitter เลยแม้แต่นิดเดียว แต่เขาสนใจที่จะเปลี่ยนแปลงแพลตฟอร์มให้ดีขึ้นเสียมากกว่า และเสริมว่าเขามี “แผน B” หากการเสนอราคาของเขาสำหรับ Twitter ถูกปฏิเสธ แต่ยังไม่อาจให้รายละเอียดได้ในตอนนี้