<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

2 วิธีเอาตัวรอดจากตลาด Sideway และ 4 อินดิเคเตอร์ที่นักเทรดต้องมีติดตัว

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ตลาด Crypto มีชื่อเสียงในด้านความผันผวนโดยธรรมชาติ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าจะมีช่วงเวลาอันเงียบสงบบ้างเป็นสักระยะเวลาหนึ่ง อันที่จริงแล้ว Bitcoin (BTC) เคยอยู่ในช่วง Sideway เป็นเวลาเกือบสองเดือนในฤดูร้อนปี 2020 โดยมีราคาซื้อขายระหว่าง 9,000 ถึง 10,000 ดอลลาร์เท่านั้น นับว่าเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อที่ Crypto อันดับหนึ่งขาดความผันผวนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

ในช่วงนี้ถือได้ว่าเป็นช่วงที่ตลาด Crypto มีความผันผวนค่อนข้างน้อยเช่นเดียวกัน โดยสาเหตุหลัก ๆ มาจากการที่นักเทรดกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย จึงขายสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง เพื่อถือสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยมากกว่า

ดังนั้นในสภาวะตลาดเช่นนี้ นักเทรดจึงควรเรียนรู้การเอาตัวรอดในตลาด Sideway และสามารถใช้ประโยชน์จากตลาดได้ โดยต่อไปนี้คือเคล็ดลับสำหรับนักเทรดทุกคนที่ต้องการผ่านช่วงนี้ไปอย่างราบรื่น

วิธีที่ 1 กำหนดเทรนด์

ก่อนจะสร้างกลยุทธ์การเทรดเพื่อช่วยทำกำไรเมื่อตลาดแทบไม่เคลื่อนไหว สิ่งสำคัญคือนักเทรดต้องแน่ใจก่อนว่าตอนนี้กำลังเทรดในตลาด Sideway เพราะการมั่นใจในสถานการณ์ของตลาด จะหมายถึงการเข้าใจวิธีกำหนดแนวโน้มด้วย

โดยพื้นฐานแล้ว ตลาด Sideway มักเกิดขึ้นเมื่อสินทรัพย์อยู่ในช่วงการซื้อขายที่เสถียรโดยไม่มีการเคลื่อนไหวที่โดดเด่นเป็นช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่การเคลื่อนไหวของราคาจะแกว่งตัวในช่วงแนวนอนแทน ดังจะเห็นจากกราฟด้านล่าง

แม้ว่าการสังเกตจากเทรนด์ของตลาด Sideway อาจดูเป็นเรื่องง่าย แต่ในความเป็นจริง นักเทรดมืออาชีพต้องการเครื่องมือเพิ่มเติมเพื่อให้สามารถกำหนดแนวโน้มได้ ทั้งนี้นักเทรดสามารถใช้อินดิเคเตอร์ที่แตกต่างกันหลายตัว โดยอินดิเคเตอร์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ได้แก่ MACD, RSI, Bollinger Bands และ Average Directional Index

1. MACD

MACD หรือ Moving Average Convergence Divergence คือ อินดิเคเตอร์ที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างเส้น Moving Average ของราคาสินทรัพย์กับสิ่งที่เรียกว่าเส้น MACD โดยเส้น Exponential Moving Average (EMA) ระยะเก้าวันของ MACD จะเป็น “เส้นสัญญาณ” ที่สามารถแสดงสัญญาณสำคัญแก่นักเทรดในรูปแบบของสัญญาณซื้อหรือขาย โดยเมื่อ MACD เคลื่อนขึ้นผ่านเส้นสัญญาณ แสดงว่าเป็นสัญญาณให้เข้าซื้อ และเมื่อเคลื่อนตัวลงผ่านเส้นสัญญาณ ถือเป็นสัญญาณให้ขาย

ในกราฟด้านบน จะเห็นเส้นสัญญาณสีแดงและเส้น MACD สีเหลือง โดยเมื่อ MACD ต่ำกว่าสัญญาณ และ histogram สีเขียวแสดงความแรงของจุด inflection นี้ แสดงว่าเป็นสัญญาณขาย

2. RSI

RSI หรือ Relative Strength Index เป็น อินดิเคเตอร์ที่ดีอีกตัวหนึ่งที่ใช้สำหรับการตรวจจับเทรนด์แนวโน้มในระยะเริ่มต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้ร่วมกับ MACD ซึ่ง RSI จะแสดงให้นักเทรดเห็นช่วงเวลาที่สินทรัพย์กำลังเข้าสู่ภาวะ overbought (เส้น 70%) หรือ oversold (เส้น 30%) ดังนั้นตัวเลข RSI ตั้งแต่ 40-60% จะบ่งบอกถึงตลาด Sideway

3. BOLLINGER BANDS

Bollinger Bands ถูกใช้เพื่อแสดงจุดเข้าและออกของการเทรดคล้ายกับ RSI โดยจะแสดงให้เห็นช่วง overbought หรือ oversold เช่นกัน รวมถึงยังมีการกำหนดแถบที่ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2 ค่าที่ด้านบนและด้านล่างของเส้น Moving Average 20 วัน โดย Bollinger Bands จะแสดงราคาหลักที่ด้านบน

4. AVERAGE DIRECTIONAL INDEX (ADX)

นักเทรดสามารถใช้ Average Directional Index เพื่อวัดความแข็งแกร่งของเทรนด์แนวโน้มที่แสดงโดยอินดิเคเตอร์อื่น ๆ ซึ่งตัวเลขที่สูงกว่า 25 จะเป็นการบ่งชี้ถึงแนวโน้มที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม ตัวชี้วัดนี้เพียงตัวเดียวนั้นไม่มีประโยชน์ เนื่องจาก Crypto มีแนวโน้มจะบ่งชี้ถึงแนวโน้มที่แข็งแกร่งเกือบตลอดเวลา ดังนั้นจึงควรใช้ร่วมกับอินดิเคเตอร์ แบบอื่น ๆ ด้วย

วิธีที่ 2 จับทางเทรนด์

เมื่อนักเทรดรู้สึกสบายใจหลังจากที่สามารถระบุแนวโน้มของการ Sideway โดยใช้อินดิเคเตอร์ต่าง ๆ  ได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือนักเทรดจำเป็นจะต้องจับทางตลาดให้ได้ และสามารถใช้อินดิเคเตอร์ในการตั้งค่าคำสั่งซื้อและขายตาม limit order ที่กำหนดได้ตามต้องการ เนื่องจากเทรนด์มักเกิดขึ้นช่วงเวลาสั้น ๆ  ดังนั้นเวลาจึงเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากนี้อินดิเคเตอร์ยังช่วยให้นักเทรดสามารถหาจังหวะทำกำไรด้วยการ short หรือทำกำไรจากการซื้อขาย spot ในช่วงแคบ ๆ ได้อีกด้วย

ในสภาวะตลาด Sideway การเรียนรู้วิธีคาดการณ์แนวโน้มของตลาดและการใช้เครื่องมือที่เหมาะสม คือวิธีที่จะทำให้นักเทรดสามารถได้รับประโยชน์จากผลกำไรจำนวนมาก

แต่ไม่ว่าความเชื่อมั่นของผู้เทรดจะสูงมากแค่ไหน หรืออินดิเคเตอร์จะแข็งแกร่งมากเท่าไรก็ตาม ตลาดก็ไม่สามารถคาดเดาได้ และอันตรายที่ใหญ่ที่สุดของการเทรดช่วงนี้ คือ การออกจากช่วง Sideway อย่างฉับพลัน จนอาจส่งผลให้เกิดการสูญเสียครั้งใหญ่ได้

นักเทรดควรตรวจสอบให้แน่ใจเสมอว่าได้ลดความเสี่ยงที่อาจเกิดความสูญเสียเหล่านี้โดยการใช้ประโยชน์จากฟีเจอร์ต่าง ๆ เช่น ควรวางจุด stop loss เพื่อให้ครอบคลุมทั้งช่วงการ short และ long เนื่องจากถ้าหากตลาดเคลื่อนไหวอย่างกะทันหันโดยไม่คาดคิด วิธีนี้จะทำให้นักเทรดสามารถควบคุมจุดขาดทุนของตนเองได้

ที่มา: learn.eqonex