ตลาด Crypto เป็นตลาดที่มีความผันผวนเป็นอย่างมาก และหลายครั้งการที่จะกำหนดจุดเข้าหรือแม้กระทั่งจะดูแนวโน้มของราคาก็ถือเป็นเรื่องที่ยาก แน่นอนว่าการจะทำนายราคาในอนาคตก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ ซึ่งหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในช่วยให้นักลงทุนสามารถดูแนวทางการเทรดได้นั้นก็คือ Indicator หรือ ตัวบ่งชี้วัดทางเทคนิคนั่นเอง
Indicator หรือตัวชี้วัดเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถประเมินแนวโน้มและรูปแบบราคาของสินทรัพย์ เพื่อระบุจุดเข้าจุดออกที่ดีที่สุด สำหรับการซื้อขาย
ปัจจุบันมีตัวชี้วัดทางเทคนิคมากมายที่สามารถใช้ได้ แต่ไม่ใช่ทุกตัวที่มีประสิทธิภาพที่โดดเด่น โดยในบทความนี้ Siamblockchain จะมาพูดถึงตัวชี้วัดทางเทคนิค 7 ตัวที่ดีที่สุดสำหรับการเทรด Crypto ในปี 2023
1.Relative Strength Index (RSI)
RSI ถือเป็น Indicator ยอดนิยมที่ใช้ในการเทรด crypto เลยก็ว่าได้ ทั้งนี้ RSI มักใช้เพื่อวัดความแข็งแกร่งของการเคลื่อนไหวราคาของเหรียญ Crypto
ซึ่ง RSI ยังสามารถเปรียบเทียบขนาดของกำไรล่าสุดของเหรียญ cryptocurrency กับการขาดทุนล่าสุด ทำให้นักเทรดสามารถบ่งชี้ได้ว่าสินทรัพย์นั้นมีอยู่ในช่วง Overbought(การซื้อมากเกินไป) หรือ Oversold(ขายมากเกินไป) โดย RSI เป็นโมเมนตัมที่มีค่าตั้งแต่ 0 ถึง 100 และค่าที่อ่านได้สูงกว่า 70 จะบ่งชี้ว่าสินทรัพย์นั้นอยู่ในช่วง Overbought และต่ำกว่า 30 บ่งชี้ว่าอยู่ในช่วง Oversold
ข้อดีและข้อเสียของ RSI
ข้อดี
- ใช้กันอย่างแพร่หลายและเป็นที่นิยม ทำให้นักเทรดสามารถค้นหาข้อมูลและคำแนะนำในการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพได้ง่าย
- สามารถระบุได้ว่าสินทรัพย์นั้นอยู่ในช่วง Overbought หรือ Oversold ได้อย่างชัดเจน ซึ่งสามารถช่วยให้พวกเขาตัดสินใจซื้อขายได้อย่างชาญฉลาด
ข้อเสีย
- เข้าใจยากและต้องใช้ประสบการณ์ในการดูเครื่องมือนี้
2.Moving Average Convergence Divergence (MACD)
Moving Average Convergence Divergence (MACD) เป็นหนึ่งในเครื่องมือทางเทคนิคในการวิเคราะห์กราฟราคาหุ้นและตลาดทางการเงินที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เป็นอีกหนึ่งตัวชี้วัดทางเทคนิคที่ช่วยในการตรวจสอบแนวโน้มและสัญญาณการซื้อขายในตลาด.
MACD ประกอบด้วยส่วนสำคัญสองส่วนคือ:
- เส้น MACD Line : นี่คือผลต่างระหว่างเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้นและระยะยาว (ระบุโดยเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้นลบด้วยเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว) เส้น MACD จะมีการเคลื่อนที่ขึ้นหรือลงตามแนวโน้มของราคาสินทรัพย์
- เส้นสัญญาณ (Signal Line): เป็นเส้นค่าเฉลี่ยอีกเส้นหนึ่งที่เกิดจากการคำนวณเฉลี่ยเคลื่อนที่ของสาย MACD ในช่วงเวลาบางช่วง (ทั่วไปแล้วเป็นจะเฉลี่ยราย 9 วัน) เส้นสัญญาณมีบทบาทในการช่วยหาสัญญาณที่ชัดเจนขึ้นว่าเมื่อเส้น MACD ตัดกับเส้นสัญญาณขึ้นหรือลง อาจจะแสดงถึงจุดเริ่มต้นของแนวโน้มในการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้น.
การใช้งาน MACD ร่วมกับการวิเคราะห์เทรนด์และสัญญาณการซื้อขายอื่น ๆ สามารถช่วยให้นักลงทุนหรือผู้เกี่ยวข้องในตลาดทางการเงินเข้าใจแนวโน้มของตลาดและตัดสินใจเกี่ยวกับการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การใช้เครื่องมือทางเทคนิคเหล่านี้ยังต้องการความรอบคอบและการวิเคราะห์อื่น ๆ เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดในการตัดสินใจการลงทุน.
ข้อดีและข้อเสียของ MACD
ข้อดี
- เป็นวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพในการระบุแนวโน้มและสัญญาณซื้อหรือขายที่อาจเกิดขึ้น
- สามารถปรับแต่งกรอบ TF และระดับความไวให้เหมาะกับสไตล์การเทรดของแต่ละคน
ข้อเสีย
- MACD สามารถให้สัญญาณที่ผิดพลาดได้ในบางครั้ง
3.Aroon Indicator
Aroon Indicator เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ใช้ในการซื้อขาย cryptocurrency เพื่อระบุการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มที่อาจเกิดขึ้นและวัดความแข็งแกร่งของแนวโน้ม
Aroon Indicator จะประกอบไปด้วยสองเส้นหลัก ๆ คือสายอรุณขึ้น (Aroon Up) และสายอรุณลง (Aroon Down) เส้น Aroon Up จะวัดระยะเวลาที่ผ่านไปตั้งแต่เกิดแนวโน้มขาขึ้นของสกุลเงินดิจิทัล ในขณะที่เส้น Aroon Down จะวัดระยะเวลาที่ผ่านไปตั้งแต่เกิดแนวโน้มขาลงของสกุลเงินดิจิทัล เส้น Aroon จะแกว่งไปมาระหว่าง 0 ถึง 100 โดยค่าที่อ่านได้สูงกว่า 50 บ่งชี้ถึงแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง และการอ่านค่าที่ต่ำกว่า 50 บ่งชี้ถึงแนวโน้มขาลงที่รุนแรง
ข้อดีและข้อเสียของ Aroon Indicator
ข้อดี
- สามารถปรับเปลี่ยนกรอบเวลาได้
- ปรับปรุงความแม่นยำได้ตลอดเวลา
ข้อเสีย
- อาจให้สัญญาณที่ขัดแย้งกันในบางสภาวะตลาด
4.Fibonacci Retracement
Fibonacci Retracement เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคยอดนิยมที่ใช้ในการซื้อขาย cryptocurrency เพื่อระบุแนวรับและแนวต้านที่อาจเกิดขึ้น มันขึ้นอยู่กับลำดับฟีโบนัชชี ซึ่งเป็นชุดตัวเลขมหัศจรรย์ที่แต่ละหมายเลขเป็นผลรวมของตัวเลขก่อนหน้าสองตัว ในการซื้อขาย ระดับ Fibonacci retracement จะถูกคำนวณโดยการหารส่วนต่างระหว่างราคาสูงและต่ำของสกุลเงินดิจิทัลด้วยอัตราส่วน Fibonacci โดยทั่วไปคือ 23.6%, 38.2%, 50%, 61.8% และ 100%
ข้อดีและข้อเสียของ Fibonacci Retracement
ข้อดี
- ง่ายและมีประสิทธิภาพ
ข้อเสีย
- การปรับแต่งกรอบเวลาที่ต่างกัน อาจนำไปสู่สัญญาณที่ขัดแย้งกัน
5.On-Balance Volume (OBV)
On-Balance Volume (OBV) เป็น Indicator ที่เอาไว้คำนวณหาโมเมนตัมแรงซื้อและแรงขายในตลาด OBV สามารถคำนวณโดยการเพิ่มปริมาณของสินทรัพย์ลงใน OBV เมื่อราคาของสินทรัพย์เพิ่มขึ้นและลบด้วยปริมาณเมื่อราคาของสินทรัพย์ลดลง จากนั้นเส้น OBV จะแกว่งไปมารอบ ๆ เส้นศูนย์ เพื่อให้นักเทรดทราบถึงความแข็งแกร่งและทิศทางของแนวโน้ม
ข้อดีและข้อเสียของ OBV
ข้อดี
- สามารถใช้เพื่อยืนยันแนวโน้มได้
- ระบุความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นระหว่างตัวชี้วัดและราคาของสินทรัพย์
ข้อเสีย
- ไม่เหมาะกับทุกสภาวะตลาด
- เหมาะจะใช้กับสภาพตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน
6.Ichimoku Cloud
Ichimoku Cloud เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ครอบคลุมซึ่งใช้ในการซื้อขาย cryptocurrency เพื่อระบุการกลับตัวของแนวโน้ม ระบุแนวรับ/แนวต้าน และใช้หาโมเมนตัมของตลาด Ichimoku Cloud จะประกอบด้วยห้าเส้น: Tenkan-sen, Kijun-sen, Senkou Span A, Senkou Span B และ Chikou Span ซึ่งถูกกำหนดจุดบนกราฟเพื่อสร้างโครงสร้างคล้ายก้อนเมฆ
เส้น Tenkan-sen และ Kijun-sen จะใช้เพื่อระบุแนวโน้มการกลับตัวที่อาจเกิดขึ้น ในขณะที่เส้น Senkou Span A และ Senkou Span B ใช้เพื่อระบุแนวรับและแนวต้านที่อาจเกิดขึ้น ขณะที่เส้น Chikou Span ใช้เพื่อยืนยันความแข็งแกร่งของแนวโน้ม
ข้อดีและข้อเสียของ Ichimoku Cloud
ข้อดี
- สามารถให้มุมมองที่ครอบคลุมของตลาด รวมถึงใช้ระบุกลับตัวของแนวโน้ม ระบุแนวรับและแนวต้าน และค้นหาโมเมนตัม
- สามารถปรับแต่งได้ตามสไตล์การเทรด
ข้อเสีย
- ค่อนข้างซับซ้อนและเข้าใจยาก โดยเฉพาะกับมือใหม่
7.Stochastic Oscillator
Stochastic Oscillator เป็นตัวชี้วัดทางเทคนิคที่ได้รับความนิยมและใช้กันอย่างแพร่หลายในการซื้อขาย cryptocurrency เพราะมีการระบุการกลับตัวของแนวโน้มที่อาจเกิดขึ้นรวมถึงช่วง Overbought และ Oversold ในตลาดด้วย
ตัวชี้วัดโมเมนตัมนี้ขึ้นอยู่กับแนวคิดที่ว่าเมื่อราคาของสินทรัพย์เพิ่มขึ้น ราคาปิดมีแนวโน้มที่จะเข้าใกล้จุ ขณะที่ราคาลดลง ราคาปิดมักจะเข้าใกล้ปลายล่างของช่วง
โดยการเปรียบเทียบราคาปิดปัจจุบันของสินทรัพย์กับช่วงของมันในช่วงเวลาที่กำหนด (ปกติคือ 14 วัน) Stochastic Oscillator สามารถบ่งชี้ได้ว่าสินทรัพย์กำลังซื้อขายใกล้จุดสูงสุดหรือต่ำสุดในช่วงเวลานั้น ข้อมูลนี้สามารถช่วยให้เทรดเดอร์ตัดสินใจได้อย่างถูกต้องว่าควรเข้าหรือออกจากการซื้อขายเมื่อใด
ข้อดีและข้อเสียของ Stochastic Oscillator
ข้อดี
- ง่ายและมีประสิทธิภาพสำในการระบุการกลับตัวของแนวโน้มที่อาจเกิดขึ้น
- สามารถปรับแต่งได้ ช่วยให้ผู้ค้าสามารถปรับกรอบเวลาและระดับความไว
ข้อเสีย
- สัญญาณอาจขัดแย้งกันในช่วงที่มีการรวมฐานหรือเมื่อตลาดซื้อขายในกรอบแคบๆ
การใช้ Indicator นั้นเป็นถือเป็นเพียงเครื่องมือเพื่อช่วยเท่านั้น ในบางครั้ง หรือบาง Indicator นั้นอาจส่งสัญญาณที่ผิดพลาด จากแรงของข่าวหรือจากสัญญาณที่ผสมกัน
อย่างไรก็ดีการใช้ Indicator นั้นสามารถที่จะใช้ได้หลายตัวพร้อม ๆ กัน ซึ่งนั่นเป็นการดีเนื่องข้อบกพร่องของ Indicator แต่ละตัวนั้นแตกต่างกันออกไปการใช้ Indicator ที่หลากหลายมากขึ้นจะช่วยทำให้ลดช่องหว่างในการผิดพลาดให้น้อยลง
คริปโทเคอร์เรนซี และ โทเค็นดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจํานวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้