เมื่อวันที่ 15 กันยายนปีที่แล้ว Ethereum ได้ดำเนินการอัพเกรดที่สำคัญนั่นคือ The Merge ซึ่งเปลี่ยนบล็อกเชนของ Ethereum ไปสู่กลไก Proof-of-Stake (PoS) จากที่มีการใช้งาน Proof-of-Work (PoW)
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา Ethereum ได้มีการ mint เหรียญออกมาเพิ่ม 680,455.31 ETH และได้มีการเบิร์นเหรียญทิ้งไป 980,377.87 ETH ส่งผลให้อุปทานสุทธิลดลงร่วม 299,922.50 ETH ตามข้อมูลของแดชบอร์ดวิเคราะห์ Ethereum จาก ultrasound.money ในแง่เปอร์เซ็นต์ต่อปีนั้นอุปทานของ Ethereum ลดลงอยู่ที่ 0.249%
โดยอุปทานสุทธิของ Ethereum นั้นจะเพิ่มขึ้นมามากกว่า 3.8 ล้าน ETH หรือ 3% หาก Ethereum ยังคงดำเนินการในรูปแบบของบล็อกเชนที่ใช้งานกลไก Proof-of-Work
กลไก PoS จะสามารถให้นักลงทุนที่ถือ Ethereum ขั้นต่ำสามารถ stake Ethereum เพื่อตรวจสอบธุรกรรมแลกกับรางวัลได้โดย PoW ก่อนหน้านี้นั้นนักขุดจะสามารถใช้เครื่องในการแก้ปัญหาด้านการคำนวณเพื่อบันทึกธุรกรรมที่เกิดขึ้นเพื่อแลกกับรางวัลได้
การเปลี่ยนผ่านไปสู่กลไก PoS ทำให้อุปทานของนักขุดจำนวนมากไหลออกจากตลาด ที่สำคัญกว่านั้นกลไก PoS จะเบิร์นค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมส่วนหนึ่งที่ผู้ใช้จ่ายไป ผู้ตรวจสอบจะได้รับค่าธรรมเนียมตามลำดับความ priority เพื่อดึงดูดผู้ตรวจสอบให้จัดลำดับความสำคัญของธุรกรรม ในขณะเดียวกัน ค่าธรรมเนียมโดยพื้นฐานก็จะถูกเบืร์นไปด้วยทำให้ Ethereum หายไปจากการหมุนเวียน
การอัพเกรดนี้ทำให้ Ethereum กลายเป็นสกุลเงินที่เกิดภาวะเงินฝืด ในขณะเดียวกันก็ทำให้ Ethereum เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นตามที่มีการคาดการณ์ไว้ แต่ถึงกระนั้นที่ราคาปัจจุบันของมันที่ $1,630 ถือได้ว่า Ethereum ยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากนักในแง่ของราคานับตั้งแต่ที่ได้ทำการอัพเกรด The Merge มาซึ่งหมายความว่าการอัพเกรดนี้ล้มเหลวในแง่ของการเพิ่มมูลค่าทางตลาดของ Ethereum ในขณะเดียวกันนั้นราคาของ Bitcoin เพิ่มขึ้นเกือบ 30% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา
ที่มา : CoinDesk