พิพิธภัณฑ์ Kunsten ในเมืองอัลบอร์ก ประเทศเดนมาร์ก ได้ว่าจ้างให้ Jens Haaning ศิลปินชาวเดนมาร์ก วัย 58 ปี สร้างผลงานศิลปะ 2 ชิ้นด้วยการฝังธนบัตร เนื่องจากโครงการศิลปะในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสะท้อนความเหลื่อมล้ำด้านค่าครองชีพในเดนมาร์กและออสเตรีย
ในการว่าจ้าง ทางพิพิธภัณฑ์ได้จ่ายค่าจ้างให้เขาเป็นเงินประมาณ 500,000 โครน (58,000 ปอนด์ หรือราว ๆ 2.5 ล้านบาท) แต่ท้ายที่สุดแล้ว ศิลปินรายนี้กลับส่งมอบผืนผ้าใบเปล่า 2 ผืนให้กับพิพิธภัณฑ์ พร้อมทั้งตั้งชื่อผลงานว่า “Take the Money and Run”
“ผลงานคือ ผมได้เอาเงินของพวกเขาไป” Jens Haaning กล่าว
ในตอนแรก ทางพิพิธภัณฑ์ต้องการให้ศิลปินคืนเงินทั้งหมดประมาณ 534,000 โครน ซึ่งแน่นอนว่านาย Haaning ปฏิเสธการคืนเงิน แต่หลังจากการต่อสู้ทางกฎหมายอันยาวนาน ศาลโคเปนเฮเกนได้สั่งให้ Haaning คืนเงินให้พิพิธภัณฑ์เป็นจำนวน 492,549 โครน เพื่อเก็บไว้บางส่วนไว้เป็นค่าใช้จ่ายอื่น ๆ โดยศาลให้เหตุผลว่าตัวเลขดังกล่าวเทียบเท่ากับจำนวนเงินที่พิพิธภัณฑ์มอบให้เขา แต่หักค่าธรรมเนียมศิลปินและค่าติดตั้ง
Lasse Andersson ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ กล่าวว่าเขาหัวเราะออกมาดัง ๆ เมื่อเห็นผืนผ้าใบว่างเปล่าสองผืนเป็นครั้งแรก ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะแสดงผลงานนี้ไว้ในพิพิธภัณฑ์ต่อไป
เรื่องแบบนี้ในโลกคริปโต
ในแง่หนึ่ง ศิลปินคนนี้และนักพัฒนาคริปโตที่ Rug pull โปรเจกต์ของตัวเอง ต่างก็ใช้ประโยชน์จากความไว้วางใจของผู้อื่นเพื่อประโยชน์ของตนเอง โดยศิลปินคนนี้ได้รับเงินจากพิพิธภัณฑ์เพื่อสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ แต่กลับไม่ส่งมอบผลงานตามสัญญา ส่วนนักพัฒนาที่ Rug pull โปรเจกต์ของตัวเองก็ได้รับเงินจากนักลงทุนเพื่อพัฒนาโปรเจกต์ แต่สุดท้ายแล้วกลับละทิ้งโปรเจกต์ไป
ในโลกคริปโตนั้นมีกรณีที่นักพัฒนาโปรเจกต์คริปโตรับเงินมาแล้วไม่ทำงานตามข้อตกลงอยู่บ่อยครั้ง เช่น กรณีของโปรเจกต์ Squid Game Token โปรเจกต์โทเค็นที่อ้างอิงจากซีรีส์ชื่อดังบน Netflix โดยโปรเจกต์นี้สามารถระดมทุนได้มากกว่า 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่หลังจากเปิดตัวได้เพียงไม่กี่วัน นักพัฒนาก็ปิดโปรเจกต์และถอนตัวออกไป จนทำให้นักลงทุนสูญเสียเงินทั้งหมด
ที่มา: bbc