รายงานล่าสุดจาก Kaiko Research เผยว่า ชาวอาร์เจนตินาหันมาใช้สกุลเงินท้องถิ่นของตนเพิ่มมากขึ้นในการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ส่งผลให้เปโซเป็นคู่ซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นสูงสุดในละตินอเมริกา ตามรายงาน State of LatAm Crypto Markets
ปริมาณการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลรายเดือนของเปโซอาร์เจนตินาเพิ่มขึ้น 400% ในปีนี้ ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในละตินอเมริกา โดยปริมาณการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลเทียบกับเปโซโคลอมเบียเป็นคู่เดียวเท่านั้นที่เพิ่มขึ้น แต่เพิ่มขึ้นเพียง 40% ในขณะที่การซื้อขายเทียบกับเรอัลบราซิลและเปโซเม็กซิโกกลับลดลง ตามข้อมูลของ Kaiko
การเพิ่มขึ้นอย่างน่าประทับใจในครั้งนี้ ตามข้อมูลของอาร์เจนตินาพบว่า มาจากการซื้อดอลลาร์ที่เกิดจากความกลัวก่อนการเลือกตั้งของ Milei ในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2023 ซึ่งความกลัวดังกล่าว ตามที่ José Luis del Palacio ผู้ก่อตั้งร่วมของ Decrypto ซึ่งเป็นกระดานเทรดของอาร์เจนตินา ระบุว่า เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการใช้งานเปโซเพิ่มขึ้นในกระดานเทรดสกุลเงินดิจิทัลต่างๆ
“ความต้องการดังกล่าวเป็นผลมาจากความคาดหวังที่เพิ่มขึ้นก่อนการเลือกตั้งเมื่อปีที่แล้ว และยังมีความเป็นไปได้ที่ค่าเงินเปโซจะลดต่ำลงอีก” เขากล่าวกับ The Defiant
ทางด้าน Del Palacio อธิบายว่าก่อนการเลือกตั้ง “ไม่มีใครอยู่ด้วยเงินเปโซ” และนั่นคือสิ่งที่ผลักดันความต้องการเงินดิจิทัลดอลลาร์
แต่เมื่อรัฐบาลของ Milei ได้รับการเลือกตั้ง การลดค่าเงินก็ไม่ได้เกิดขึ้น ในความเป็นจริง ผู้คนต้องขายเงินดอลลาร์ ซึ่งทำให้อัตราแลกเปลี่ยนเสรีลดลงจาก 1,300 ดอลลาร์ออสเตรเลียต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ เป็น 970 ดอลลาร์ออสเตรเลีย เนื่องจากผู้คนต้องจ่ายบิลและรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทางการเงินอื่นๆ เดล ปาลาซิโอกล่าว
อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ตลาดได้ “กวาดล้าง” เงินออมเหล่านั้นไปแล้ว และค่าเงินดอลลาร์ได้กลับไปอยู่ที่ 1,350 ดอลลาร์
เงินเฟ้อชะลอตัวลง
ทั้งนี้ชาวอาร์เจนตินายินดีใช้เงินสกุลท้องถิ่นมากขึ้น เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อของประเทศกำลังลดลงในอัตราที่คงที่ที่สุดนับตั้งแต่ปีที่แล้ว
José Luis del Palacio ผู้ร่วมก่อตั้ง Decrypto ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนเงินดิจิทัลในอาร์เจนตินากล่าวว่า “คาดว่าชาวอาร์เจนตินาจะใช้เงินเปโซมากขึ้นเพื่อการซื้อขายคริปโต”
Manuel Ferrari ผู้ร่วมก่อตั้ง Money On Chain ซึ่งเป็นโปรโตคอล stablecoin ที่หนุนด้วย Bitcoin และเป็นกรรมการของ Bitcoin Argentina NGO กล่าวว่า “อัตราเงินเฟ้อลดลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งอาจทำให้เงินเปโซของอาร์เจนตินาถูกนำมาใช้ในการแลกเปลี่ยนในประเทศมากขึ้น”
ข้อมูลอย่างเป็นทางการจากสถาบันสถิติและสำมะโนแห่งชาติ (INDEC) ของประเทศแสดงให้เห็นว่าอัตราเงินเฟ้อในเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ 4.2% ซึ่งเป็นการลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 ตัวเลขนี้ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2022 ซึ่งอยู่ที่ 3.9%
อย่างไรก็ตาม ด้วยปริมาณการซื้อขายรายเดือน 400 ล้านดอลลาร์ เงินเปโซของอาร์เจนตินา (ARS) ยังคงเป็นสกุลเงินที่มีการซื้อขายต่ำที่สุดในภูมิภาค เนื่องจากยังคงมีอัตราเงินเฟ้อประจำปีสูงสุดในอเมริกาใต้ แม้ว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของราคาจะเริ่มลดลง
อัตราเงินเฟ้อประจำปีอยู่ที่จุดสูงสุดในรอบหลายทศวรรษ โดยแตะ 290% ในเดือนเมษายน กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าจะมีการลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยคาดว่าประเทศจะสิ้นสุดปีที่อัตราเงินเฟ้อประมาณ 149% และ 59% ในปี 2025
USDT ก้าวขึ้นนำ
ปริมาณการซื้อขายคริปโตที่เพิ่มขึ้นในอาร์เจนตินาแสดงให้เห็นว่า ชาวอาร์เจนตินายังคงมองหาทางเลือกในการออมและการลงทุนนอกเหนือจากเงินเปโซ ในขณะที่ค่าเงินยังคงลดลงในอัตราเลขสองหลักต่อเดือน และมีการควบคุมสกุลเงินที่จำกัดการเข้าถึงเงินดอลลาร์สหรัฐ สินทรัพย์ดิจิทัลจึงเป็นตัวเลือกที่ดี
ทั่วทั้งละตินอเมริกา เป็นเรื่องยากที่บุคคลจะเข้าถึง USD ทำให้พวกเขาต้องมองหาทางเลือกอื่น ตามข้อมูลของ Kaiko ทางเลือกที่ได้รับความนิยมดูเหมือนจะเป็น USDT ของ Tether โดยมีการซื้อขายในภูมิภาคนี้มากกว่า 40% ที่ใช้ stablecoin นี้
Bitcoin และ Ethereum ตามมาเป็นอันดับสองและสามตามลำดับ ในขณะที่ USDC ซึ่งเป็น stablecoin ที่ใหญ่เป็นอันดับสองในตลาด ไม่ได้อยู่ในเรดาร์เลย
Del Palacio กล่าวว่าตลาดคริปโตเคอเรนซีกำลังเริ่มดำเนินไปอย่างอิสระเนื่องจากการผ่อนคลายข้อจำกัดของรัฐบาล Milei คำพูดของเขาสอดคล้องกับสิ่งที่ผู้นำในอุตสาหกรรมในประเทศพยายามทำกับ Crecimiento ซึ่งเป็น Crypto Silicon Valley ในบัวโนสไอเรส ที่กำลังเตรียมเปิดตัวเมืองป๊อปอัพของตัวเองในบัวโนสไอเรสในเดือนสิงหาคม
เขากล่าวว่า “เราคาดว่าจะเห็นบริการอื่นๆ ที่ใช้บล็อกเชนจำนวนมากเข้ามาเพิ่มในตลาดท้องถิ่นของเรา”
และในแง่ของการใช้งานโดยรวม del Palacio กล่าวว่าแนวโน้มของคริปโตเคอเรนซีในอาร์เจนตินามักจะเพิ่มขึ้น “เนื่องจากผู้คนและบริษัทต่างๆ ไว้วางใจสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนระดับโลกและภาคเอกชนมากกว่าทางเลือกในประเทศที่รวมศูนย์”
โดยเขาสรุปว่าตัวเลข 400% มีแนวโน้มที่จะลดลงต่ำกว่าสามหลัก
ที่มา: the difiant