Ethereum (ETH) สกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกตามมูลค่าตลาด เพิ่งทำสถิติใหม่ด้วยจำนวน ETH ที่ถูกนำไป Staking บนเครือข่าย Ethereum 2.0 โดยปัจจุบันมี ETH มากถึง 47.38 ล้านเหรียญ ที่ถูกนำไป Staking ซึ่งคิดเป็น 33.9% ของอุปทานโทเค็นที่หมุนเวียนอยู่ทั้งหมด
ตามข้อมูลจากบริษัทวิเคราะห์ข้อมูลบนบล็อกเชน Santiment ระบุว่า ปริมาณ Ethereum ที่ถูกนำไป Staking เพิ่มขึ้นอย่างมากจากเดิมเมื่อสองปีที่แล้วมี ETH เพียง 10.9% ของทั้งหมดที่ถูกนำไปฝากในสัญญา ETH2 Beacon Deposit Contract แต่ปัจจุบัน เพิ่มขึ้นสามเท่า เป็น 33.9% คิดเป็นมูลค่ากว่า 1.4 แสนล้านดอลลาร์
การ Staking บน Ethereum 2.0 เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีผู้ใช้จำนวนมากนำ ETH ของตนเข้าร่วมเป็นผู้ยืนยันธุรกรรม (validator) ซึ่งกระบวนการนี้จำเป็นต้องล็อก ETH เพื่อช่วยรักษาความปลอดภัยให้กับเครือข่าย ภายใต้ระบบ Proof-of-Stake
การเป็นผู้ยืนยันธุรกรรมเหล่านี้จะได้รับรางวัลเป็น ETH แม้จะมีระบบ Staking แต่ Ethereum ยังคงเป็นสกุลเงินดิจิทัลแบบ Deflationary (มีแนวโน้มเงินฝืด) เนื่องจากการอัปเกรดก่อนหน้านี้ทำให้ต้องเสียค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรม
ข้อมูลจาก Santiment ไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของการ Staking บน Ethereum 2.0 เท่านั้น แต่ยังเผยแนวโน้มที่น่าสนใจเกี่ยวกับวิธีการถือครอง ETH อีกด้วย
กระเป๋าเงินที่ถือครอง ETH มากกว่า 10 ล้านเหรียญ (รวมถึง Beacon Deposit Contract) มีสัดส่วนของ ETH ที่ถือครองโดยกระเป๋าเงินประเภทนี้ เพิ่มขึ้นถึง 23% ภายในระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา
ตรงกันข้ามกับปริมาณเหรียญ ETH ที่เก็บอยู่ในกระเป๋าเงินขนาดเล็กและกลาง (ไม่รวมสัญญา ETH2 Beacon Deposit Contract) มีสัดส่วนของ ETH ที่ถือครองโดยกระเป๋าเงินประเภทนี้ลดลง ซึ่งบ่งชี้ถึงการเคลื่อนไหวที่นำไปสู่การ Staking
ตามรายงาน นักลงทุนระยะยาวของ Ethereum (ETH) ขณะนี้ถือครองเหรียญที่หมุนเวียนอยู่ประมาณ 78% ซึ่งหมายความว่า ผู้ซื้อที่ถือครอง ETH มานานกว่า 1 ปี ตอนนี้กลายเป็นกลุ่มคนที่ควบคุมเหรียญ ETH ส่วนใหญ่ที่ยังคงหมุนเวียนอยู่ในตลาด
นักลงทุนระยะยาวเหล่านี้ มีแนวโน้มที่จะขายเหรียญ ETH น้อยกว่า เมื่อเทียบกับคนที่เพิ่งซื้อมาได้ไม่นาน แนวโน้มการครองตลาดของนักลงทุนระยะยาว ถือเป็นสัญญาณขาขึ้นสำหรับ Ethereum ที่แสดงถึงความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นในหมู่นักลงทุน โดยการที่พวกเขาถือครองเหรียญ ETH จำนวนมาก เท่ากับการนำเหรียญจำนวนมหาศาล ออกจากการหมุนเวียน ส่งผลให้แรงกดดันด้านลบต่อราคาลดลง
ที่มา : cryptoglobe