ตลาดการเงินโลกนั้นซับซ้อนและเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด กลยุทธ์การลงทุนต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย หนึ่งในกลยุทธ์ที่น่าสนใจและส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินโลกอย่างมาก คือ “Carry Trade” โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกี่ยวข้องกับสกุลเงินเยนของญี่ปุ่น Carry Trade เงินเยนนี้คืออะไร ทำไมจึงส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินโลก และมีความเสี่ยงอย่างไรบ้าง มาไขข้อข้องใจไปพร้อมกัน
Carry Trade คืออะไร ?
Carry Trade เป็นกลยุทธ์การลงทุนที่นักลงทุนยืมเงินจากสกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ เพื่อนำไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีอัตราผลตอบแทนสูงในสกุลเงินอื่นๆ โดยหวังผลกำไรจากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ย เช่นเดียวกับการที่เราฝากเงินในธนาคารแล้วได้รับดอกเบี้ย แต่ในกรณีนี้ นักลงทุนจะกู้เงินมาลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่มากกว่าดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย
เหตุใดนักลงทุนจึงนิยมใช้เงินเยนในการทำ Carry Trade? คำตอบอยู่ที่นโยบายการเงินของประเทศญี่ปุ่นที่มักมีอัตราดอกเบี้ยต่ำมาก เพื่อเป้าหมายในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้ต้นทุนในการกู้ยืมเงินเยนต่ำมาก เมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ เช่น ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือยูโร ดังนั้น นักลงทุนจึงสามารถกู้เงินเยนในราคาถูก นำไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนสูงในประเทศอื่นๆ และทำกำไรจากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ย
ที่มาภาพ : indianexpress
BOJ ประกาศขึ้นดอกเบี้ยสูงสุดในรอบ 15 ปี
ที่มาภาพ : sharqetrade
หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่น (BOJ) ตัดสินใจประกาศขึ้นดอกเบี้ยสูงสุดในรอบ 15 ปี ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินครั้งสำคัญ ซึ่งส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินทั่วโลก รวมถึงเป็นการส่งสัญญาณว่าญี่ปุ่นกำลังก้าวออกจากนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย และมุ่งเน้นไปที่การควบคุมเงินเฟ้อและรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตามการที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงสุดในรอบ 15 ปีถือเป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินครั้งสำคัญ ซึ่งส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินโลกอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อกลยุทธ์การลงทุนที่เรียกว่า “Carry Trade เงินเยน”
สหรัฐฯ คือผู้ได้รับผลกระทบหลัก
ที่มาภาพ : bloomberg
สหรัฐฯ เป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบหลักจากการค้าเงินเยนในรูปแบบของ Carry Trade เนื่องจากมีการไหลเข้าของเงินทุนจากต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง การลงทุนในสินทรัพย์ของสหรัฐฯ เช่น พันธบัตรรัฐบาล หรือหลักทรัพย์อื่น ๆ ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า ทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับสกุลเงินอื่น ๆ รวมถึงเงินเยน การที่เงินดอลลาร์แข็งค่าส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในหลายด้าน เช่น การส่งออกที่มีราคาแพงขึ้นสำหรับลูกค้าต่างชาติ ส่งผลให้ความต้องการสินค้าสหรัฐฯ ลดลง และการนำเข้าสินค้าที่มีราคาถูกลง ซึ่งอาจกระทบต่อผู้ผลิตในประเทศ
ผลกระทบของ Carry Trade เงินเยนต่อสหรัฐฯ ยังมีมิติอื่น ๆ เช่น การเพิ่มขึ้นของหนี้สินในประเทศสหรัฐฯ ที่เกิดจากการยืมเงินในสกุลเงินเยนเพื่อนำมาลงทุน การเปลี่ยนแปลงในอัตราดอกเบี้ยและนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่นหรือธนาคารกลางสหรัฐฯ สามารถส่งผลให้ Carry Trade มีความเสี่ยงสูงขึ้นในกรณีที่อัตราดอกเบี้ยของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นหรืออัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ลดลง นักลงทุนที่ยืมเงินเยนมาแล้วต้องคืนเงินในอัตราที่สูงขึ้น อาจประสบกับการขาดทุนอย่างรุนแรงได้
การที่สหรัฐฯ ได้รับผลกระทบจาก Carry Trade เงินเยนที่เกิดขึ้นล่าสุดนี้ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศและความเปราะบางของระบบการเงินโลก นักเศรษฐศาสตร์และนักวิเคราะห์การเงินจึงต้องเฝ้าระวังและติดตามแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของ Carry Trade อย่างใกล้ชิด
โดมิโน่ถึง ตลาดสินทรัพย์เสี่ยง
ที่มาภาพ : xm
Carry Trade เงินเยน ยังได้กลายเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อตลาดคริปโตเช่นกัน เมื่อนักลงทุนกู้เงินเยนในอัตราดอกเบี้ยต่ำมาลงทุนในสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนสูง เช่น คริปโตเคอร์เรนซี เงินทุนจำนวนมหาศาลก็ไหลเข้าสู่ตลาดคริปโต ส่งผลให้ราคาของสินทรัพย์ดิจิทัลพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและก่อให้เกิดฟองสบู่สินทรัพย์ดิจิทัล
อย่างไรก็ตาม เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลง เช่น อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้น หรือเกิดความไม่แน่นอนในตลาดการเงิน นักลงทุน Carry Trade อาจตัดสินใจถอนเงินทุนออกจากตลาดคริปโตเพื่อลดความเสี่ยง การถอนเงินทุนครั้งใหญ่นี้จะส่งผลให้ราคาของคริปโตเคอร์เรนซีดิ่งลงอย่างรวดเร็ว และอาจนำไปสู่การล้มละลายของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเคอร์เรนซีได้ นอกจากนี้ ความผันผวนของตลาดคริปโตที่เกิดจากการไหลเข้าและไหลออกของเงินทุนจาก Carry Trade ยังส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนรายย่อย และอาจทำให้เกิดความปั่นป่วนในตลาดการเงินทั่วโลก
ผลกระทบต่อตลาดสินทรัพย์เสี่ยง
- การขายทำกำไร: เมื่อนักลงทุน Carry Trade ต้องปิดสถานะการลงทุนเพื่อชำระหนี้เงินกู้ที่กู้มาจากญี่ปุ่น จะส่งผลให้เกิดการขายสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้น ในปริมาณมาก ซึ่งจะกดดันให้ราคาหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลง
- ความผันผวนสูง: ตลาดหุ้นจะเผชิญกับความผันผวนอย่างรุนแรงในช่วงเวลาปรับตัว เนื่องจากนักลงทุนต่างพากันขายสินทรัพย์เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนเอง
- หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีได้รับผลกระทบหนัก: หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีซึ่งมักได้รับความนิยมจากนักลงทุน Carry Trade จะได้รับผลกระทบอย่างหนัก เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง และมักถูกขายออกไปก่อนเป็นอันดับแรก
- ตลาดเกิดใหม่ได้รับผลกระทบ: ตลาดหุ้นในประเทศตลาดเกิดใหม่ ซึ่งมักได้รับเงินทุนจากนักลงทุนต่างชาติ ก็จะได้รับผลกระทบจากการไหลออกของเงินทุนเช่นกัน
ปัจจัยเสริมที่ส่งผลกระทบต่อตลาดสินทรัพย์เสี่ยง
- นโยบายการเงินของธนาคารกลางอื่นๆ: การตอบสนองของธนาคารกลางอื่นๆ เช่น ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ต่อการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินของ BOJ จะมีผลกระทบต่อตลาดสินทรัพย์เสี่ยงอย่างมาก หาก Fed ตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตาม ก็จะยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์ให้แย่ลงไปอีก
- สถานการณ์เศรษฐกิจโลก: ปัจจัยทางเศรษฐกิจอื่นๆ เช่น สงครามการค้า และความขัดแย้งทางภูมิศาสตร์ ก็มีส่วนในการกำหนดทิศทางของตลาดสินทรัพย์เสี่ยง
- ความเชื่อมั่นของนักลงทุน: ความเชื่อมั่นของนักลงทุนเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนตลาด หากนักลงทุนขาดความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจโลก ก็จะยิ่งทำให้ตลาดสินทรัพย์เสี่ยงมีความผันผวนมากขึ้น
ผลกระทบในระยะยาว
การขึ้นดอกเบี้ยของ BOJ จะส่งผลกระทบต่อตลาดสินทรัพย์เสี่ยงในระยะยาว โดยอาจทำให้เกิดการปรับโครงสร้างของตลาด และนำไปสู่การเติบโตของสินทรัพย์ประเภทใหม่ๆ ที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า เช่น พันธบัตรรัฐบาล หรือทองคำ
โดยสรุปแล้ว การขึ้นดอกเบี้ยของ BOJ ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อตลาดเงินในญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปทั่วโลก ทำให้อนาคตของตลาดการเงินโลกหลังจากเหตุการณ์นี้ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง เกิดความผันผวนในตลาดสินทรัพย์เสี่ยง และสร้างความท้าทายใหม่ๆ ให้กับนักลงทุน