<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

Bitcoin อาจวิกฤต ! 2 เหมืองขุดยักษ์ใหญ่ควบคุมอัตราแฮชเรตเกินครึ่ง  ส่งผลต่อตลาดอย่างไร?

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

รอยร้าวปรากฏในตลาดคริปโต  เมื่อชุมชนเริ่มกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการรวมศูนย์อำนาจของ Bitcoin ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อหลักการพื้นฐานของสินทรัพย์ดิจิทัลตัวแรกของโลก 

รายงานล่าสุดจาก BTC.com ชี้ชัดว่า 2 เหมือง Mining Pool รายใหญ่อย่าง Foundry USA และ AntPool ได้ครองสัดส่วนอัตราแฮชเรต (Hashrate) รวมกันบนเครือข่าย Bitcoin สูงถึง 57% แฮชเรตเปรียบเสมือนพลังงานที่ใช้ในการตรวจสอบและบันทึกธุรกรรมบนบล็อกเชน หากมีการรวมศูนย์แฮชเรตมากเกินไป อาจส่งผลต่อความปลอดภัยและการกระจายอำนาจของเครือข่าย Bitcoin ได้

ทั้งนี้ mining pools  คือ กลุ่มเหมืองขุด หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ เป็นการร่วมมือกันระหว่างนักขุดรายย่อยที่ได้นำทรัพยากรคอมพิวเตอร์มารวมตัวกันเพื่อเพิ่มโอกาสในการขุดให้สำเร็จมากขึ้น และทำการแจกจ่ายรางวัลให้กับผู้เข้าร่วมการขุดตามกำลังการขุดของแต่ละคน

เมื่อเวลาผ่านไปกลุ่ม mining pools เหล่านี้ได้รับความนิยมมากขึ้น และมอบรายได้ที่มั่นคงขึ้นให้กับนักขุด แทนที่จะต้องมานั่งลุ้นเหมือนถูกรางวัลจากการขุดแบบคนเดียว ทว่าความนิยมของทั้งสอง pool นั้นทำให้ Bitcoin ต้องสั่นคลองไปถึงแกนกลาง โดยข้อมูลจาก BTC.com เผยว่าอัตรา hasrate ทั้งหมดของเครือข่ายอยู่ที่ 651 EH/s โดยที่ทาง Foundry มีอัตรา hash ที่ 215.79 EH/s ขณะที่ AntPool มี 153.55 EH/s.

หากมองลึกลงไปจะพบว่า pool ทั้งสองจะมีความสัมพันธ์ทางการเมืองอีกด้วยเพราะ Foundry USA  เป็นบริษัทในเครือของ Digital Currency Group ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Grayscale ทำให้เห็นได้ชัดเจนว่านี่คือนักขุดฝั่งอเมริกา ขณะที่ AntPool นั้นเป็นของ Bitmain Technologies ซึ่งเป็นของประเทศจีน ทำให้เราเห็นได้ว่าการชิงอัตรา hashrate มีการแข่งขันกันมากกว่าที่เราคิด ซึ่งใครที่ชนะก็เปรียบเสมือนผู้ชนะที่สามารถควบคุม Bitcoin ได้นั่นเอง ซึ่งนี่ถือเป็นภัยความมั่นคงระดับร้ายแรงต่อ Bitcoin 

ดังนั้นหากมีกลุ่มเหมืองขุดใดที่ควบคุม hashrate ได้มากกว่าครึ่งอาจทำให้การโจมตีแบบ 51% attack เกิดขึ้นกับเครือข่าย Bitcoin ส่งผลให้ตัวของเครือข่ายไม่ปลอดภัยอีกต่อไป และล่มสลายลงได้ โดยแม้สิ่งนั้นจะยังไม่เกิดขึ้นแต่ในปัจจุบันกลุ่มเหล่านี้ได้ทำการ censor ประวัติการทำธุรกรรมบางส่วนบนเครือข่ายได้แล้ว

ที่มา : Bitcoinist