ช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคา Bitcoin (BTC) จะยังกักให้อยู่ในช่วง 55,000 ถึง 65,000 ดอลลาร์ และดูเหมือนว่าเหรียญคริปโตเคอร์เรนซีอันดับหนึ่งนี้จะยังไม่สามารถกลับไปแตะระดับ 70,000 ดอลลาร์ได้ และคงไม่สามารถทำสถิติสูงสุดใหม่ (ATH) ได้ในเร็วๆ นี้
ซึ่งนักวิเคราะห์จาก IntoTheBlock ก็ได้ออกมาชี้ว่า สาเหตุที่ BTC ยังไม่สามารถพุ่งขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ได้นั้น เป็นเพราะมีจำนวนที่อยู่ของผู้ถือครอง BTC เป็นจำนวนมากที่ซื้อเหรียญในช่วงราคาระหว่าง 61,700 ถึง 70,500 ดอลลาร์
โดยข้อมูลจาก IntoTheBlock เผยว่ามีที่อยู่ของผู้ถือครอง BTC กว่า 7 ล้านที่อยู่ ที่ซื้อเหรียญในช่วงราคานี้ ซึ่ง ณ ราคาปัจจุบันของ BTC ที่ 56,500 ดอลลาร์ แม้ว่าผู้ถือครองเหล่านี้กำลังเผชิญกับการขาดทุน
IntoTheBlock อธิบายว่า เมื่อมีนักลงทุนจำนวนมากที่ขาดทุนในช่วงราคาดังกล่าว BTC จะเผชิญกับแรงขายอย่างต่อเนื่องเมื่อราคาขยับเข้าใกล้ช่วงดังกล่าว เนื่องจากผู้ถือครองหลายรายต้องการขายเพื่อลดการขาดทุนของตนเอง ซึ่งหมายความว่าในช่วงราคานี้ นักเทรดจำนวนมากอาจพยายามปล่อยเหรียญออกมา
และในการที่ BTC จะสามารถต้านแรงขายนี้และพุ่งทำจุดสูงสุดใหม่ได้นั้น ตัวเหรียญจำเป็นต้องมีแรงส่งที่แข็งแกร่งมาก อย่างไรก็ตาม BTC มีแนวโน้มที่จะอ่อนตัวลงในเดือนกันยายน โดยใน 6 จาก 7 ปีที่ผ่านมา เดือนกันยายนปิดตัวในแดนลบ ด้วยการลดลงเฉลี่ย 4.5% และในเดือนนี้ BTC เริ่มต้นด้วยการลดลงจาก 60,000 ดอลลาร์ ลงมาที่ 55,000 ดอลลาร์ ในขณะที่ข้อมูลของ CoinMarketCap ระบุว่า BTC ลดลง 5% ในช่วง 7 วันที่ผ่านมา
แม้ว่าตลาดคริปโตยังคงอยู่ในช่วงกระทิง แต่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ามีปัจจัยหลายประการที่อาจส่งผลต่อราคาของ BTC ในช่วงสัปดาห์ข้างหน้า เช่น การปรับฐานหลังจากการ Halving ความกังวลเกี่ยวกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปริมาณ BTC ที่ยังเหลืออยู่จากการที่รัฐบาลปล่อยขาย และการคืนสินทรัพย์ที่ฟื้นจากการล้มละลายของ Mt. Gox ให้กับเจ้าหนี้
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเดือนนี้จะดูท้าทายสำหรับ BTC แต่ก็ยังมีการเคลื่อนไหวที่ดีในด้าน on-chain โดยจำนวนกระเป๋าที่ถือครอง BTC มากกว่า 100 เหรียญเพิ่งได้แตะระดับสูงสุดในรอบ 17 เดือน ซึ่งแสดงถึงแรงหนุนจากการซื้อเพิ่มของกลุ่มเจ้ามือที่คาดว่าราคาจะกลับมาพุ่งในไตรมาสที่ 4 นี้
ทั้งนี้ บทความดังกล่าวเป็นเพียงแค่การเสนอข่าวเท่านั้น การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลนั้นมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนอาจเสียเงินทั้งจำนวนได้ ดังนั้นผู้ลงทุนควรที่จะศึกษาและประเมินความเสี่ยงก่อนที่จะลงทุนในสินทรัพย์ใดๆ อยู่เสมอ
ที่มา: Cryptopotato