<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

ราคา FTT พุ่งขึ้นกว่า 50% หลังเว็บเทรด FTX ได้รับอนุมัติจากศาล ให้ชำระเงินคืนลูกค้าเต็มจำนวน

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ราคาเหรียญ $FTT ซึ่งเป็นโทเค็นประจำแพลตฟอร์ม FTX ได้พุ่งทะยานขึ้นกว่า 50% สู่ระดับ 3.23 ดอลลาร์ในวันจันทร์ หลังจากศาลอนุมัติแผนการฟื้นฟูกิจการล้มละลายของ FTX แผนดังกล่าวจะช่วยให้ FTX สามารถชำระเงินคืนลูกค้าได้อย่างเต็มจำนวน โดยใช้สินทรัพย์ที่สามารถกู้คืนมาได้ซึ่งมีมูลค่ารวม 16,000 ล้านดอลลาร์ พร้อมดอกเบี้ย

อย่างไรก็ตาม หลังจากราคาพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันโทเค็น $FTT มีมูลค่าปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 2.72 ดอลลาร์ ตามข้อมูลจาก CoinGecko ระบุว่า มูลค่าโทเค็นได้เพิ่มขึ้นถึง 100% ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่นักลงทุนต่างจับตารอการยืนยันผลการพิจารณาคดีเพื่อฟื้นฟูกิจการของ FTX อย่างเป็นทางการ

ที่มา: CoinGecko

เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ผู้พิพากษา John Dorsey แห่งศาลล้มละลายของสหรัฐประจำเขตเดลาแวร์ ได้ยืนยันแผนการปรับโครงสร้างองค์กรภายใต้มาตราที่ 11 ของเว็บเทรด FTX  ถือเป็นระยะเวลาเกือบสองปีแล้ว หลังจากที่ เว็บเทรด FTX ล้มละลาย โดยเรื่องราวการล้มละลายของ FTX ก็ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว

ผู้พิพากษา John Dorsey  กล่าวว่า มูลค่าของโทเค็น FTT ซึ่งเป็นโทเค็นพื้นฐานของแพลตฟอร์มเว็บเทรด FTX นั้นมีมูลค่าเป็นศูนย์ ซึ่งเป็นการย้ำถึงความไม่สามารถฟื้นตัวของเว็บเทรด FTX ได้ในปัจจุบัน

ผู้พิพากษา John Dorsey กล่าวว่า “วันนี้ฉันไม่มีหลักฐานใด ๆ ที่แสดงว่า มูลค่าของโทเค็น FTT จะมีค่าอื่นใดนอกจากศูนย์”

ภายใต้แผนการปรับโครงสร้างหนี้นั้น เจ้าหนี้ 98% จะได้รับเงินคืนประมาณ 119% จากการเรียกร้องที่ได้รับการอนุมัติภายใน 60 วัน หลังจากแผนมีผลบังคับใช้ 

การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นหลังจากเจ้าหนี้ 94% ลงคะแนนเสียงเห็นชอบ  ซึ่งคิดเป็นการเรียกร้องเงินคืน มูลค่าประมาณ 6.83 พันล้านดอลลาร์

คาดว่าเงินทุนที่กู้คืนได้ทั้งหมดจะอยู่ระหว่าง  14,700 ล้านดอลลาร์ ถึง 16,500 ล้านดอลลาร์ เงินดังกล่าวยังรวมถึงการขายสินทรัพย์ของ FTX เอง ,สาขาจากต่างประเทศ, หน่วยงานรัฐบาล และฝ่ายที่ร่วมมือ

แม้จะมีการคัดค้านเกี่ยวกับวิธีการชำระเงินอยู่บ้าง แต่แผนการดังกล่าวจะดำเนินต่อไปด้วยการแจกจ่ายเงินสด ตามที่ได้รับการยืนยันในการพิจารณาคดีเมื่อวันจันทร์ ซึ่งคาดว่า ลูกค้าของ FTX จะได้รับเงินชดเชยในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

 ที่มา : cryptobriefing