ในโลกการลงทุนคริปโตที่เต็มไปด้วยโอกาสอันเย้ายวน หลายคนอาจมองเห็นแต่ภาพกำไรที่งดงาม และความสำเร็จอันรวดเร็ว แต่ในอีกด้านหนึ่ง ตลาดคริปโตแห่งนี้กลับซ่อนเร้นความมืดดำ ที่อาจพานักลงทุนเข้าสู่วังวนแห่งความหายนะอย่างไม่รู้ตัว
เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ผศ.ดร.อุดมศักดิ์ รักวงษ์วาน หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ดร.เอ็ม” ผู้ร่วมก่อตั้งและที่ปรึกษาแพลตฟอร์ม DeFi อย่าง FWX รวมถึงเป็นอาจารย์ภาควิชาคณิตศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และเจ้าของเพจ “ติดเล่า เรื่องลงทุน” ได้โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊กของตนเอง
เพื่อแชร์มุมมองเชิงลึกเกี่ยวกับด้านมืดของวัฏจักรตลาด ที่ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการขึ้นลงของราคาเท่านั้น แต่ยังชี้ให้เห็นถึงโครงสร้างเบื้องหลังนี้ เพื่อไม่ให้นักลงทุนตกเป็นเหยื่อของเกมส์ที่ถูกวางกลยุทธ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว
ในโพสต์ ดร.เอ็ม ได้อธิบายถึงการดำเนินงานของ วัฏจักรตลาด (Market Cycle) ว่า แท้จริงแล้วเป็นเหมือน “เกมส์การเงิน” ที่ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ซึ่งผู้เล่นรายย่อยที่ไม่รู้เท่าทันกลยุทธ์ของเจ้ามือในตลาด หรือ Market Maker (MM) มักจะตกเป็นเหยื่อในทุก ๆ รอบของวัฏจักร
ดร.เอ็มอธิบายต่อไปว่า ตลาดจะขึ้นได้เพราะมีคนซื้อมากกว่าคนขาย และลงเมื่อมีคนขายมากกว่าคนซื้อ ทุกรอบของการทำราคา และกำไรจากมุมของ market maker จะแบ่งออกเป็น 3 โซนสำคัญ
1. โซนเก็บของ
ในช่วงตลาดซบเซาเหล่าเจ้ามือ (Market Maker) และผู้เล่นรายใหญ่จะเริ่ม “เก็บของ” โดยเข้าซื้อสินทรัพย์ในช่วงราคาต่ำ ทำให้ตลาดเคลื่อนไหวในลักษณะ Sideway Up โดยเราจะเห็นกิจกรรมการสะสมสินทรัพย์ของเจ้ามือ (Market Maker) เกิดขึ้นอย่างช้า ๆ
2. โซนลากราคาขึ้น
เมื่อเข้าสู่โซนนี้ เจ้ามือ (Market Maker) จะเริ่มยกราคาสินทรัพย์ให้เพิ่มสูงขึ้น โดยใช้เทคนิค การส่งสัญญาณ ผ่านรูปแบบกราฟ หรือเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิค เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ผู้เล่นรายย่อยเข้าร่วมในการขยับราคาให้สูงขึ้น ซึ่งช่วงนี้ตลาดจะปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรงและยาวนาน โดยเป้าหมายของโซนนี้ คือการดึง Exit Liquidity หรือเงินทุนจากผู้เล่นรายใหม่ให้เข้าสู่ตลาด
3. โซนเทขายทำกำไร
โซนสุดท้ายเป็นช่วงที่ เจ้ามือ (Market Maker) และผู้เล่นรายใหญ่ จะเริ่มเทขายสินทรัพย์ หลังจากดึงเงินทุนจากผู้เล่นรายใหม่ให้เข้าสู่ตลาด (Exit Liquidity) ได้มากพอ ซึ่งหลังจากการเทขายของเจ้ามือ (Market Maker) ส่งผลให้ราคาสินทรัพย์ร่วงลงอย่างหนัก ทำให้ผู้เล่นรายใหม่ที่เข้ามาช่วงปลายวงจร จะได้รับความเสียหายมากที่สุด จนอาจขาดทุนอย่างมาก หรือแม้กระทั่งติดดอยเลยทีเดียว
แล้วตลาด Crypto ล่ะ?
เช่นเดียวกับวัฏจักรของตลาดคริปโต ดร.เอ็ม มองว่าตลาดคริปโตมี Pattern ที่ชัดเจนเพราะอิงกับ Halving ของ Bitcoin ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 3 ช่วงใหญ่ ๆ ได้แก่
- Sideway Up เป็นช่วงที่ตลาดเคลื่อนไหวในลักษณะ ค่อย ๆ ปรับตัวขึ้น (มีระยะเวลาที่มักเกิดขึ้น 1 ปี -1.5 ปีก่อนการ Halving ของ Bitcoin )
- Bull Run เป็นช่วงที่ตลาดคริปโตปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง เป็นระยะเวลาที่ราคาคริปโตพุ่งสูงมาก (ระยะเวลาเกิดขึ้น 1 ปี -1.5 ปี หลังการ Halving ของ Bitcoin )
- Market Crash เป็นช่วงที่ตลาดปรับตัวลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง หลังจากผ่านช่วง Bull Run (เป็นช่วงเวลาหลังการเกิด Bull Run)
ดร.เอ็ม เสริมว่า ในแต่ละรอบของวัฏจักรตลาดคริปโต ความรุนแรงของราคาคริปโตที่พุ่งขึ้นและราคาเหรียญคริปโตที่ร่วงลง จะลดลง เนื่องจากขนาดตลาดที่ใหญ่ขึ้น อย่างไรก็ตาม หากผู้เล่นรายใหม่กลายเป็นนักลงทุนสถาบันแทนนักลงทุนรายย่อย เราอาจได้เห็นวัฏจักรแบบใหม่ที่เรียกว่า “Supercycle” ซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของตลาดคริปโต
ที่มา : facebook