Michael Saylor ผู้ก่อตั้ง MicroStrategy ได้เสนอแผนสร้างทุนสำรอง Bitcoin เชิงกลยุทธ์เพื่อรัฐบาลสหรัฐฯ โดยเขาอ้างว่าแผนดังกล่าวสร้างรายได้ระหว่าง 16 ล้านล้านถึง 81 ล้านล้านดอลลาร์ ให้กับกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ซึ่งอาจเป็นวิธีลดหนี้สินของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยในแผนของ Saylor เขาได้แบ่งสินทรัพย์ดิจิทัลออกเป็น 6 หมวดหมู่ ได้แก่ Bitcoin ในฐานะสินค้าโภคภัณฑ์ดิจิทัล สินทรัพย์ดิจิทัลที่มีลักษณะเป็นหลักทรัพย์ สกุลเงินดิจิทัล โทเค็นดิจิทัล NFTs และโทเค็นที่มีสินทรัพย์หนุนหลัง โดยทุกหมวดหมู่จะมีข้อกำหนดเฉพาะสำหรับผู้ออกเหรียญ แพลตฟอร์มซื้อขาย และผู้ถือเหรียญ เพื่อป้องกันความไม่ชัดเจนในกฎระเบียบ
หนึ่งในประเด็นสำคัญคือการลดต้นทุนด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบ (Compliance Costs) โดย Saylor เสนอว่าต้นทุนการออกโทเค็นไม่ควรเกิน 1% ของมูลค่าทรัพย์สินที่จัดการ (AUM) และต้นทุนการรักษาโทเค็นไม่ควรเกิน 0.1% ต่อปี ซึ่งแนวทางนี้จะลดความยุ่งยากในระบบราชการ และเปิดโอกาสให้นวัตกรรมเติบโต รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการโครงการ
Saylor เชื่อว่าโครงสร้างนี้สามารถปลดล็อกมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์ ลดต้นทุนการซื้อขายสินทรัพย์ และเปิดโอกาสให้ธุรกิจนับล้านเข้าถึงตลาด โดยเขามองเห็นภาพเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่กลายเป็นสกุลเงินดิจิทัลชั้นนำของโลก และมีตลาดทุนดิจิทัลที่เจริญรุ่งเรืองเป็นแรงสนับสนุน
อย่างไรก็ตาม แนวคิดของ Saylor กลับถูกผู้เชี่ยวชาญวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ Peter Schiff นักเศรษฐศาสตร์ที่มองว่าแผนดังกล่าวเป็น “เรื่องไร้สาระ” และเชื่อว่าจะส่งผลให้มูลค่าเงินดอลลาร์ลดลงและเพิ่มหนี้สินของประเทศ
แม้แผนการสำรอง Bitcoin ของ Saylor จะถูกมองว่าไม่สมจริงในสายตาหลายคน แต่แนวคิดนี้สะท้อนถึงบทบาทที่เพิ่มขึ้นของคริปโตในการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจโลก และถ้าหากสหรัฐฯ นำแผนนี้มาใช้จริง เราก็อาจเปลี่ยนวิธีการมองหนี้สินแห่งชาติ นวัตกรรม และเงินตราในอนาคตอย่างมีนัยสำคัญ
ที่มา: AltcoinBuzz