นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย Datuk Seri Anwar Ibrahim ได้ออกมาเปิดเผยว่ารัฐบาลกำลังสำรวจแนวทางนโยบายที่ช่วยรองรับการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลและเทคโนโลยี บล็อกเชน ภายหลังการเยือนกรุงอาบูดาบีเป็นเวลา 3 วัน ซึ่งเขาได้หารือกับรัฐบาลอาบูดาบีและ Changpeng Zhao ผู้ร่วมก่อตั้ง Binance เกี่ยวกับแนวทางการดำเนินนโยบายที่เหมาะสม
ทางด้านนายกรัฐมนตรีระบุว่า การหารือครั้งนี้ครอบคลุมประเด็นเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล และศูนย์ข้อมูลในประเทศ พร้อมย้ำว่าการวางนโยบายสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัลรวมถึงเทคโนโลยีบล็อกเชนซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาด้านเทคโนโลยี
Ibrahim ชี้ว่า การดำเนินการนี้จะช่วยให้มาเลเซียสามารถแข่งขันกับประเทศที่เริ่มปรับตัวกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้ พร้อมระบุว่ารัฐบาลต้องเข้าร่วมกระแสโลกตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการล้าหลัง
โดยทางรัฐบาลมาเลเซียยังเร่งผลักดันการเปลี่ยนผ่านดิจิทัล และมีการหารือร่วมกับหน่วยงานด้านความมั่นคง Bank Negara รวมถึงกระทรวงการคลัง เพื่อค้นหาแนวทางการสำรวจสินทรัพย์ดิจิทัลและเทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เตรียมข้อเสนอสำหรับนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีโดยหวังว่าจะได้รับการอนุมัติในเร็ว ๆ นี้
และในการเยือนอาบูดาบีครั้งนี้ Ibrahim ยกย่องสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ว่าเป็นตัวอย่างที่ดีในด้านการเปลี่ยนผ่านดิจิทัลและนวัตกรรม พร้อมเปิดเผยถึงความร่วมมือที่จะช่วยให้มาเลเซียปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจเดิมสู่การเงินดิจิทัลและฟินเทค
นอกจากนี้ Ibrahim ยังตระหนักถึงความท้าทายในการเปลี่ยนแปลงนี้ โดยเฉพาะการยอมรับจากสาธารณชน แต่เขาแสดงความเชื่อมั่นว่าด้วยการฝึกอบรมบุคลากรและการมีส่วนร่วมของหน่วยงานต่าง ๆ รัฐบาลจะสามารถจัดการกับอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นได้
ในอีกด้านหนึ่ง MP Syerleena Abdul Rashid ของมาเลเซีย เสนอให้รัฐบาลพิจารณานำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้เพื่อลดปัญหาการคอร์รัปชัน โดยชี้ว่าบล็อกเชนมีจุดเด่นในด้านความโปร่งใส การกระจายศูนย์ และความปลอดภัยของข้อมูล ซึ่งจะช่วยลดการทุจริตและเพิ่มความรับผิดชอบของรัฐบาล
โดยกลุ่มตัวอย่างสำคัญคือ ประเทศจอร์เจียและเอสโตเนียที่ใช้บล็อกเชนในการพัฒนาระบบราชการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การจัดการที่ดินและการป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ ซึ่งช่วยให้ระบบข้อมูลมีความโปร่งใสและปลอดภัยมากขึ้น
Rashid เน้นย้ำว่า มาเลเซียควรเร่งปรับตัวเพื่อให้ทันกับแนวโน้มโลก โดยคาดว่ามูลค่าตลาดอุตสาหกรรมบล็อกเชนทั่วโลกจะเกิน 900 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030
ที่มา: Cryptopolitan