<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

Chainalysis เผย! อาชญากรรมคริปโตในปี 2024 อาจเกินกว่า 5.1 หมื่นล้านดอลลาร์

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

รายงาน “Crypto Crime Report 2025” จาก Chainalysis เผยว่าอาชญากรรมคริปโตเข้าสู่ยุคขององค์กรอาชญากรรมมืออาชีพที่ขับเคลื่อนด้วย AI และการฟอกเงินผ่าน Stablecoin โดยในปีที่ผ่านมา มีธุรกรรมที่ผิดกฎหมายสูงถึง 51 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งทำลายสถิติเดิมและสวนทางกับตัวเลขที่เคยคาดการณ์ไว้

แม้ว่าตัวเลขเบื้องต้นจะชี้ว่าอาชญากรรมคริปโตในปี 2024 จะมีแนวโน้มลดลง แต่การวิเคราะห์เชิงลึกกลับพบว่าอาชญากรใช้เทคนิคการฟอกเงินที่ซับซ้อนขึ้น โดยอาศัย Stablecoin, การเงินแบบกระจายศูนย์ ( DeFi) และการหลอกลวงด้วย AI ซึ่งสร้างภาพลวงตาว่ากิจกรรมผิดกฎหมายลดลง

รายงานยังได้ระบุอีกว่าปัจจุบันอาชญากรรมไซเบอร์ถูกครอบงำโดยเครือข่ายอาชญากรรมขนาดใหญ่ที่รวมถึงขบวนการฉ้อโกง, แฮ็กเกอร์ระดับรัฐ และกลโกงที่ใช้ AI ในการลวงเหยื่อ

“ยุคของแฮ็กเกอร์เดี่ยวและตลาดมืดได้จบลงแล้ว” 

แม้ว่าการจ่ายเงินค่าไถ่จาก Ransomware จะลดลง 35% เมื่อเทียบกับปีก่อน แต่ภัยคุกคามนี้ยังไม่หายไปไหน อาชญากรกำลังเปลี่ยนจาก Bitcoin ไปใช้ Stablecoin, Monero และกลยุทธ์โจมตีผ่าน DeFi มากขึ้น

รายงานระบุว่า Stablecoin กลายเป็นเครื่องมือหลักของอาชญากร โดยคิดเป็น 63% ของธุรกรรมคริปโตที่ผิดกฎหมายทั้งหมด เนื่องจากการทำธุรกรรมรวดเร็ว สภาพคล่องสูง และมีช่องโหว่ทางกฎหมายที่ทำให้ติดตามได้ยากกว่าการใช้ Bitcoin

อย่างไรก็ตาม ผู้ออก Stablecoin ก็เริ่มตอบโต้ เช่น Tether ได้สั่งแช่แข็ง Wallet หลายร้อยใบที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมผิดกฎหมาย ทำให้อาชญากรต้องหันไปใช้ Monero และแพลตฟอร์มฟอกเงินแบบ DeFi แทน

แม้ตัวเลข Ransomware จะดูเหมือนลดลง แต่กลุ่มอาชญากรกลับพัฒนาและปรับตัวอย่างรวดเร็ว โดยกลุ่มเล็ก ๆ ที่ให้บริการ Ransomware-as-a-Service เช่น RansomHub ได้เข้ามาแทนที่เครือข่ายที่ถูกปิดไป เช่น LockBit

นอกจากนี้ “การปั่นราคา” ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ โดยเฉพาะบนตลาดแลกเปลี่ยนแบบกระจายศูนย์ (DEX) โดยรายงานระบุว่ามีการซื้อขายปลอมกว่า 2.57 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024 ผ่านการใช้บอทเทรดอัตโนมัติที่สร้างภาพลวงตาของอุปสงค์ ส่งผลให้นักลงทุนหลงเชื่อและเข้ามาซื้อก่อนที่กลุ่มต้นทางจะเทขายและทำให้ราคาพังลง

Chainalysis เผยว่า 3.59% ของโทเคนใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นในปี 2024 แสดงพฤติกรรม “Rug Pull” หรือหลอกให้คนลงทุนก่อนเทขายทิ้ง นอกจากนี้ รายงานยังครอบคลุมแนวโน้มอื่น ๆ เช่น บริการฟอกเงิน-as-a-Service, รายได้ที่ลดลงของตลาดมืด และการใช้ AI ในอาชญากรรมคริปโต

ในอนาคต กฎระเบียบเกี่ยวกับ Stablecoin จะเข้มงวดขึ้นเพื่อตอบโต้การใช้ในธุรกรรมผิดกฎหมาย ขณะเดียวกัน อาชญากรไซเบอร์ก็จะพัฒนาเทคนิคใหม่ เช่น การใช้ Deepfake, การสร้างตัวตนปลอม และการโจมตีแบบฟิชชิ่งอัตโนมัติ ทำให้ตรวจจับได้ยากขึ้น

สงครามระหว่างกฎหมายและอาชญากรรมคริปโตจะยังดำเนินต่อไป และอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดอนาคตของอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลทั่วโลก

ที่มา: Cointelegraph