<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>
bitkub-2022-769x90

แฮ็กเกอร์ Lazarus ปิดจ๊อบ ! ฟอกเงินที่ขโมยมาจาก Bybit ขาวจั๊ว ภายในเวลาเพียงแค่ 10 วัน

bitkub-2022-768x90
ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

Lazarus กลุ่มแฮ็กเกอร์ชื่อดังจากฝั่งเกาหลีเหนือ สามารถฟอกเงินที่ขโมยมาจาก Bybit ทั้งหมดได้สำเร็จ ซึ่งรวมถึง เหรียญ Ethereum จำนวน 499,000 ETH ซึ่งมีมูลค่ากว่า 1.39 พันล้านดอลลาร์ ถูกฟอกในเวลาเพียง 10 วัน ทำให้เหรียญที่ถูกขโมย หายไปอย่างไร้ร่องรอยบนเครือข่ายบล็อกเชน อ้างอิงตามรายงานจาก EmberCN 

ในขณะเดียวกัน ราคา Ethereum มีมูลค่าลดลงกว่า 23% จาก $2,780 เหลือเพียง $2,130 สาเหตุมาจากการที่กลุ่มแฮ็กเกอร์ Lazarus ทยอยฟอกเงินที่ขโมยมาจาก Bybit ผ่านแพลตฟอร์ม Mixer และกระดานเทรดคริปโต ส่งผลให้ตลาดเกิดแรงเทขายอย่างหนัก

ที่มา:cryptopolitan

การตั้งค่าหัวแฮ็กเกอร์ของ Bybit ล้มเลิกแล้วหรือยัง ?

แม้ว่าทาง Bybit จะเดินหน้าไล่ล่าแฮกเกอร์อย่างหนัก และเสนอเงินรางวัลมหาศาลให้กับผู้ที่สามารถให้เบาะแสเกี่ยวกับเงินที่ถูกขโมยไป แต่ดูเหมือนว่า Lazarus จะสามารถเคลียร์เส้นทางการเงินของพวกเขาได้อย่างแนบเนียน

Ben Zhou ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง Bybit เดินหน้าต่อสู้กับกลุ่มแฮกเกอร์ Lazarus ด้วยการเปิดตัวแคมเปญ “Lazarus Bounty” ผ่านเว็บไซต์ lazarusbounty.com โดยโครงการนี้มอบเงินรางวัลให้กับผู้ที่สามารถติดตามเส้นทางการเงินที่เชื่อมโยงกับการโจรกรรมของ Lazarus ได้ จนถึงตอนนี้ Bybit ได้จ่ายเงินรางวัลไปแล้วกว่า 4 ล้านดอลลาร์ ให้กับผู้ที่ช่วยให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายเงินที่ถูกขโมย

Zhou ยืนยันหนักแน่นว่า Bybit จะไม่หยุดไล่ล่าแฮกเกอร์ และยังมีแผนขยายแคมเปญนี้ เพื่อช่วยเหลือเหยื่อรายอื่น ๆ ของ Lazarus ในอนาคต เขาโพสต์บน X ว่า “เราจะไม่หยุด จนกว่า Lazarus และอาชญากรในวงการนี้จะถูกกำจัด”

แคมเปญของ Bybit เสนอเงินรางวัล 5% ของคริปโตที่กู้คืนได้ ให้กับผู้ที่สามารถระบุและรายงานธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแฮก โดยรวมแล้ว เงินรางวัลนำจับทั้งหมดสูงถึง 140 ล้านดอลลาร์ 

นอกจากนี้ Ben Zhou ยังประกาศเปิดตัว “HackBounty Platform” ซึ่งเป็นโครงการระดับอุตสาหกรรมที่ออกแบบมาเพื่อต่อสู้กับอาชญากรรมทางไซเบอร์ในวงการคริปโต โดยเขาให้ความเห็นว่า “การรวมพลังของชุมชนคริปโตทั้งบนบล็อกเชนและในโลกแห่งความจริง อาจช่วยสร้างระบบป้องกันที่แข็งแกร่งขึ้นเพื่อรับมือกับภัยคุกคามไซเบอร์”

ที่มา:cryptopolitan

ข่าวต่อไป