<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

เปิด 3 เหตุผล! ทำไมราคา Bitcoin ถึงดิ่ง หลังประธานาธิบดี Donald Trump ประกาศขึ้นภาษี

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

Bitcoin ร่วงลงมากกว่า 15% ตั้งแต่วันที่ 3 กุมภาพันธ์ หลังจากที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ Donald Trump ขู่ขึ้นภาษีต่อจีน เม็กซิโก และแคนาดา โดยล่าสุดราคา Bitcoin ซื้อขายต่ำสุดที่ประมาณ 86,400 ดอลลาร์ ณ วันที่ 5 มีนาคม

พร้อมกันนั้น นักลงทุนได้ถอนเงินทุนออกจากกองทุน Spot Bitcoin ETF ในสหรัฐฯ มากกว่า 3.50 พันล้านดอลลาร์ ตั้งแต่วันที่ 3 กุมภาพันธ์ ตามข้อมูลจาก Farside Investors

ทำไมข่าวการขึ้นภาษีของ Trump จึงทำให้ตลาด Bitcoin เกิดการเทขายอย่างหนัก? มาดูปัจจัยที่อยู่เบื้องหลังกัน

ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจบั่นทอนความอยากเสี่ยงของนักลงทุน

สหรัฐฯ ได้กำหนดอัตราภาษี 25% สำหรับแคนาดาและเม็กซิโก และ 10% สำหรับจีนเมื่อวันที่ 4 มีนาคม ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับปัญหาห่วงโซ่อุปทานและต้นทุนสินค้าที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจุดกระแสความกลัวเกี่ยวกับภาวะ “Trumpcession” หรือภาวะเศรษฐกิจถดถอยภายใต้การบริหารของ Trump

โดยทั่วไป สินทรัพย์เสี่ยงมักเผชิญแรงเทขายในสถานการณ์เช่นนี้ ตัวอย่างเช่น ในเดือนสิงหาคม 2019 สงครามการค้าระหว่าง Trump กับจีน ทำให้ดัชนี Dow Jones ร่วงลงถึง 800 จุด แต่ในขณะนั้น Bitcoin กลับพุ่งขึ้น เนื่องจากนักลงทุนจีนใช้เป็นทางเลือกในการหลีกเลี่ยงมาตรการควบคุมเงินทุนของรัฐบาล

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนได้สังเกตเห็นแนวโน้มดังกล่าว และดำเนินการปราบปรามการซื้อขาย Bitcoin และแพลตฟอร์ม OTC อย่างเข้มงวดตั้งแต่ปลายปี 2019 จนถึงปี 2020

แต่ในครั้งนี้ Bitcoin กลับมีพฤติกรรมเหมือนสินทรัพย์เสี่ยง โดยมีค่าความสัมพันธ์กับ Nasdaq ที่สูงถึง 0.91 ในรอบ 30 สัปดาห์

นอกจากนี้ JPMorgan ได้ออกมาปรับมุมมองเป็น “bearish เชิงยุทธวิธี” ต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ ท่ามกลางสงครามการค้า ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อ Bitcoin หากความสัมพันธ์ดังกล่าวยังคงอยู่

ตลาด Bitcoin ซื้อขายตลอด 24 ชั่วโมง

ต่างจากตลาดหุ้นที่ปิดทำการในช่วงสุดสัปดาห์ Bitcoin ซื้อขายได้ตลอด 24 ชั่วโมง และตอบสนองต่อสถานการณ์เศรษฐกิจได้ทันที

เมื่อข่าว Trump ขึ้นภาษีถูกยืนยันในช่วงสุดสัปดาห์ต้นเดือนกุมภาพันธ์ นักเทรดคริปโตรีบเทขาย Bitcoin และสินทรัพย์อื่นๆ ก่อนที่ตลาดหุ้นจะเปิดทำการ ส่งผลให้ราคาดิ่งลงอย่างรวดเร็วในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ โดย Bitcoin ร่วงแตะระดับต่ำสุดในรอบสามสัปดาห์ที่ 91,000 ดอลลาร์ ขณะที่มูลค่าตลาดคริปโตโดยรวมลดลงกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์จากจุดสูงสุดในเดือนธันวาคม

ในทางกลับกัน การประกาศของ Trump เกี่ยวกับแผน “US crypto strategic reserve” ในวันที่ 3 มีนาคม ซึ่งตรงกับวันอาทิตย์เช่นกัน ทำให้ราคา Bitcoin พุ่งขึ้นถึง 9.58% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นรายวันที่สูงที่สุดตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน 2024

เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงนโยบายสามารถกระตุ้นความผันผวนอย่างรุนแรงในตลาดคริปโต โดยเฉพาะช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ตลาดดั้งเดิมปิดทำการ และมีปริมาณการซื้อขายต่ำกว่าปกติ

นักลงทุนทั่วโลกกำลังหันไปป้องกันความเสี่ยงที่อื่น

ตามปกติ การขึ้นภาษีควรช่วยให้ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (DXY) แข็งแกร่งขึ้น เนื่องจากลดการนำเข้าและกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศ

อย่างไรก็ตาม ในครั้งนี้ DXY กลับขึ้นไปแตะจุดสูงสุดในช่วงที่ Trump ประกาศขึ้นภาษี และร่วงลงตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เช่นเดียวกับ Bitcoin ซึ่งขัดแย้งกับสมมติฐานเดิมที่ว่าภาษีจะช่วยหนุนค่าเงินดอลลาร์

ในขณะที่ Bitcoin และดอลลาร์อ่อนค่าลง ยูโรกลับแข็งค่าขึ้นตั้งแต่วันที่ 3 กุมภาพันธ์ บ่งชี้ว่านักลงทุนทั่วโลกที่ต้องการป้องกันความเสี่ยงจากผลกระทบทางเศรษฐกิจของภาษีกำลังหันไปใช้สกุลเงินยูโรแทน Bitcoin

ทองคำ ซึ่งมีสถานะเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย เช่นเดียวกับยูโร ก็ปรับตัวสูงขึ้นหลังจาก Trump ประกาศขึ้นภาษีในวันที่ 3 กุมภาพันธ์

เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ซึ่งถูกมองว่าเป็นอีกหนึ่งสกุลเงินปลอดภัย ก็ปรับตัวขึ้น 4.5% ตั้งแต่ Trump ประกาศขึ้นภาษีเช่นกัน

หากการประกาศขึ้นภาษีของ Trump ก่อให้เกิดความกลัวต่อสงครามการค้าหรือภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว นักลงทุนอาจเทขายสินทรัพย์เสี่ยง และหลีกเลี่ยงดอลลาร์หากคาดว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะได้รับผลกระทบ

ดังนั้น Bitcoin จึงมักร่วงลงอย่างรวดเร็วเมื่อมีข่าวที่กระทบต่อเศรษฐกิจ เช่น การขึ้นภาษี เนื่องจากความไม่แน่นอนทำให้นักลงทุนถอนตัวจากสินทรัพย์เสี่ยง ซึ่งยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นจากลักษณะการซื้อขายตลอด 24 ชั่วโมงของตลาดคริปโต

แม้ว่าบางคนจะมองว่าสิ่งนี้อาจเป็นผลดีต่อ Bitcoin ในระยะยาว หากภาวะเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น แต่ปฏิกิริยาของตลาดในปัจจุบันกลับเป็นไปในลักษณะของความตื่นตระหนกและแรงเทขายมากกว่า

ที่มา: cointelegraph