แม้ว่าในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ดูเหมือนจะเป็นความหวังของนักลงทุนคริปโท โดยได้ให้คำมั่นไว้ว่า หากได้กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้ง สหรัฐฯ จะกลายเป็นประเทศที่เป็นมิตรกับสินทรัพย์ดิจิทัลมากที่สุดในโลก แต่ความเป็นจริง หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ กลับไม่เป็นไปตามที่หลายคนคาดการณ์ไว้
หลังชัยชนะของ Donald Trump ตลาดคริปโทพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง เพราะนักลงทุนคาดหวังว่า รัฐบาลจะเริ่มสะสมเหรียญคริปโท ตามนโยบาย “กองทุนสำรองคริปโทแห่งชาติ” ที่ได้เคยพูดไว้ แต่จนถึงตอนนี้ รัฐบาลกลางสหรัฐฯ ไม่เพียงแต่ยังไม่ซื้อเหรียญเพิ่ม แต่พอร์ตคริปโทที่มีอยู่ ก็มูลค่าลดลงไปมหาศาล
ตามข้อมูลของ Arkham Intelligence ระบุว่า ณ วันที่ 20 มกราคม ซึ่งเป็นวันสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของ Donald Trump รัฐบาลสหรัฐฯ ถือครองคริปโทมูลค่ารวมประมาณ 21,150 ล้านดอลลาร์ แต่พอถึงวันที่ 7 เมษายน มูลค่าพอร์ตคริปโทลดลงเหลือเพียง 15,450 ล้านดอลลาร์ หรือลดลงกว่า 26.67%
ซึ่งสินทรัพย์ดิจิทัลหลักของรัฐบาล คือ Bitcoin ที่ได้มาจากการยึดทรัพย์ โดยการบังคับใช้กฎหมายต่าง ๆ ซึ่งมูลค่าของ BTC เหล่านี้ ลดลงจาก 20,640 ล้านดอลลาร์ในวันแรกที่ Donald Trump กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เหลือแค่ 15,120 ล้านดอลลาร์

มูลค่าคริปโตที่สหรัฐฯ ถือครองในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา (กราฟจาก Arkham)
แม้ Donald Trump จะยังไม่ทำตามสัญญาที่ว่าจะสร้างกองทุนสำรองคริปโทแห่งชาติ หรือซื้อเหรียญคริปโทเพิ่ม แต่ Donald Trump ก็ยังคงรักษาสัญญาเรื่องที่ จะไม่ขายคริปโทของรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม มูลค่าพอร์ตการลงทุนคริปโทของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ลดลงอย่างรวดเร็ว เกิดจากราคาคริปโทในตลาดที่ร่วงลงอย่างหนัก โดยเฉพาะหลังการประกาศนโยบายภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ในวันปลดปล่อย (Liberation Day) ของ Donald Trump ซึ่งทำให้มูลค่าตลาดคริปโทหายไปถึง 3 แสนล้านดอลลาร์ในสัปดาห์เดียว
Bitcoin ซึ่งเป็นเหรียญที่รัฐบาลถือไว้มากที่สุด ก็ราคาร่วงลงอย่างหนักเช่นกัน โดยราคา Bitcoin ร่วงลงไปแตะ 76,365 ดอลลาร์ ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2024 ซึ่งราคาลดลงกว่า 24.96% จากระดับ 101,762 ดอลลาร์ในวันเปิดตัวรัฐบาลในยุคของ Trump
ในขณะที่รายงาน ราคา Bitcoin กำลังซื้อขายอยู่ที่ 80,268 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 1.86 % ภายใน 24 ชั่วโมง อ้างอิงข้อมูลจาก coinmarketcap

ที่มา : finbold