<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

ปานามาร่วมด้วย ! เปิดรับชำระภาษีด้วยคริปโทฯ และ Stablecoin 

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

Mayer Mizrachi นายกเทศมนตรีเมืองปานามา ประกาศว่า นับตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป ประชาชนจะสามารถชำระค่าภาษี ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ รวมถึงค่าปรับ และใบอนุญาตกับทางเทศบาล ด้วยสกุลเงินดิจิทัลได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็น Bitcoin, Ethereum รวมถึง Stablecoin อย่าง USDC และ USDT  

อย่างไรก็ตาม ตามกฎหมายแล้ว หน่วยงานภาครัฐยังจำเป็นต้องรับเงินเข้าคลังเป็น “ดอลลาร์สหรัฐฯ” เท่านั้น ดังนั้นทุกธุรกรรมคริปโทที่เกิดขึ้น จะถูกแปลงไปเป็นเงินดอลลาร์ผ่านธนาคารที่เป็นพันธมิตรก่อน วิธีนี้ทำให้คริปโทสามารถถูกนำมาใช้หมุนเวียนได้อย่างเสรีในระบบเศรษฐกิจ

เมื่อวันที่ 16 เมษายน Mayer Mizrachi ได้โพสต์ข้อความลงบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย X กล่าวว่า  “สภาเมืองปานามาเพิ่งโหวตให้หน่วยงานภาครัฐ สามารถรับชำระเงินด้วยคริปโทได้ นี่จะเป็นครั้งแรกที่ประชาชนสามารถจ่ายภาษี ค่าปรับ ค่าธรรมเนียม และใบอนุญาตต่าง ๆ ด้วย BTC, ETH, USDC และ USDT ได้โดยตรง”

Mayer Mizrachi ยังกล่าวถึงความพยายามในอดีต ที่ประเทศปานามาเคยพยายามผลักดันกฎหมายเพื่อให้ใช้คริปโทได้ทั่วประเทศเมื่อราว 4 ปีก่อน แต่ก็ต้องล้มเหลว เนื่องจากศาลสูงสุด มีคำตัดสินว่า กฎหมายฉบับดังกล่าวไม่สามารถบังคับใช้ได้ในปี 2023 หลังจากนั้นก็ไม่มีความคืบหน้าจากภาครัฐในเรื่องนี้อีกเลย

ครั้งนี้ Mayer Mizrachi เลือกเดินหน้าแบบไม่ผ่านกระบวนการออกกฎหมาย แต่ใช้อำนาจของเทศบาลในการตั้งระบบรับชำระเงินคริปโทแทน แม้จะต้องยอมรับข้อจำกัดหลายอย่าง โดยคริปโทที่ได้มาจะถูกแปลงไปเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐทันที ซึ่งเทศบาลจะไม่ได้ถือครองคริปโทใด ๆ ไว้เองเลย

Mayer Mizrachi ยอมรับว่า แนวทางนี้เป็นเพียงทางออกชั่วคราว เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าทางกฎหมาย แต่ก็แสดงให้เห็นว่า บทบาทของคริปโทในระบบเศรษฐกิจของปานามายังถูกจำกัด

แม้ประเทศปานามาจะมีสกุลเงินของตนเอง อย่าง “บัลโบอา” (balboa) แต่ในทางปฏิบัติ รัฐบาลและสถาบันต่าง ๆ ต้องใช้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นหลัก ซึ่งคล้ายกับสถานการณ์ของเอลซัลวาดอร์ที่ใช้ดอลลาร์เป็นสกุลหลักเช่นกัน ก่อนที่เอลซัลวาดอร์จะยอมรับ Bitcoin อย่างเป็นทางการ

การเคลื่อนไหวของปานามาครั้งนี้ จึงเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ที่อาจสร้างกระแสคริปโทได้ในระดับหนึ่ง แต่ถ้าจะพูดถึงการนำมาใช้จริงอย่างยั่งยืน ก็ยังคงต้องรอดูว่า ในอนาคตรัฐบาลระดับชาติจะกล้าเปลี่ยนแปลง หรือสนับสนุนมากกว่านี้หรือไม่