<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

สามยักษ์ใหญ่การเงินอาบูดาบี ! เร่งเครื่องพัฒนา Stablecoin ที่ Peg มูลค่ากับสกุลเงิน “ดีแรห์ม”  

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

วันนี้ (29 เมษายน 2025) สถาบันยักษ์ใหญ่ 3 แห่งของอาบูดาบีได้แก่ กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (ADQ) , ธนาคาร First Abu Dhabi Bank (FAB) และบริษัท International Holding Company ได้ประกาศร่วมมือเตรียมเปิดตัวเหรียญ Stablecoin ใหม่ที่มีตรึงมูลค่ากับสกุลเงินดีแรห์ม (AED) ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ซึ่งตอนนี้โทเคนดังกล่าวกำลังต้องรอการอนุมัติจากธนาคารกลางของประเทศเพื่อดำเนินในขั้นตอนต่อไป

ภาพ : IHC

เหรียญ Stablecoin ใหม่นี้ถูกออกแบบมาให้รองรับเทคโนโลยี AI และการสื่อสารระหว่างเครื่องจักร (machine-to-machine) โดยมีเป้าหมายเข้ามาปฏิวัติระบบการชำระเงินและการทำธุรกรรมทางธุรกิจ ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับโลก พร้อมทั้งเสริมสร้างสถานะของ UAE ให้เป็นผู้นำด้านนวัตกรรมบล็อกเชนและฟินเทค

ADQ ตั้งเป้าวางตำแหน่งให้สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) เป็นผู้นำด้านนวัตกรรมบล็อกเชนระดับโลก พร้อมเสริมความแข็งแกร่งให้โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศ ถ้าได้ไฟเขียวจากหน่วยงานกำกับดูแล Stablecoin ตัวใหม่จะทำงานบนบล็อกเชน ADI ที่สร้างโดย ADI Foundation องค์กรไม่แสวงหากำไรที่ช่วยผลักดันภาคการเงินและรัฐบาลให้ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน

ADQ เองเป็นกองทุนความมั่งคั่งของรัฐที่ก่อตั้งในปี 2018 เน้นลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและ Supply chain ระดับโลก ส่วน IHC เป็นบริษัทลงทุนรายใหญ่ใน UAE มูลค่าตลาดกว่า 243,000 ล้านดอลลาร์ มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับราชวงศ์อาบูดาบี ขณะที่ FAB คือธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ เกิดจากการควบรวมของ First Gulf Bank และ National Bank of Abu Dhabi เมื่อปี 2017

ในอีกมุมหนึ่ง หลายประเทศก็เริ่มขยับเปิดตัว Stablecoin ที่ผูกมูลค่าอยู่กับสกุลเงินอื่นนอกจากดอลลาร์สหรัฐ แต่ความจริงตอนนี้ตลาดยังถูกผูกขาดอย่างหนัก โดยมูลค่ารวม Stablecoin ที่ Peg อยู่กับเงินดอลลาร์พุ่งทะลุ 230,000 ล้านดอลลาร์ในเดือนเมษายน โตขึ้นถึง 54% จากปีก่อน และแค่ Tether กับ USDC ก็ครองไปถึง 90% 

แม้จะมีข่าวรัสเซียเตรียมทำ Stablecoin ของตัวเอง หลังเจอปัญหาโดนสหรัฐอายัดกระเป๋าเงินจากกรณี Garantex แต่รายงานจาก Citigroup ก็ฟันธงว่า ตลาด Stablecoin โดยรวมจะยังยึดดอลลาร์สหรัฐเป็นหลัก ส่วนประเทศอื่น ๆ จะเน้นพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลของตัวเองมากกว่า

ที่มา: cointelegraph