<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

ดร.นิเวศน์ เตือนนักลงทุนหุ้น ‘เก็บเงินสดรอจังหวะ’ รอเก็บของดีช่วงตลาด ‘Sell in May’ 

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ช่วงนี้ใครเปิดพอร์ตแล้วหน้าซีด อย่าเพิ่งตกใจไป เนื่องจาก “ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร” กูรูสายลงทุนคุณค่า (Value Investor) ได้ออกมาเตือนนักลงทุน พร้อมกับแนวทางการลงทุนที่เปลี่ยนจาก “ให้ถือยาว สู้ต่อไป” เป็น “ใจเย็น ตั้งสติ เก็บเงินสดไว้ให้พร้อม” หลังจากที่ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร กลับมาจากอังกฤษ พร้อมโปสเตอร์เตือนใจ ที่ไม่ใช่แค่ของสะสม แต่ให้ข้อคิดบทเรียนชีวิตที่ลึกซึ้งอย่างเหลือเชื่อ

จากโปสเตอร์ใบแรก “Keep Calm and Carry On”  ซึ่งมีความหมายว่า “ใจเย็น ๆ และ สู้ต่อไป” ที่เคยฮิตถล่มทลายในช่วงวิกฤตซับไพร์มปี 2009 ในตลาดหุ้นวอลสตรีท กลายมาเป็นคาถาเตือนใจคนลงทุนยุคนี้ว่า “อย่าตื่นตูม อย่าเทหมดหน้าตัก” หรือพูดง่าย ๆ เวลาเกิดปัญหาใหญ่ระดับ “วิกฤต” จะต้องใจเย็น มีสติ และก็สู้ต่อไป อย่าตกใจและยอมแพ้ แล้วทุกอย่างก็จะดีขึ้น เฉกเช่นที่อังกฤษในช่วงปี 1939 ที่เกิดเหตุการณ์วิกฤต เกิดสงครามกับเยอรมันในช่วงต้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งอังกฤษต้องปลุกขวัญกำลังใจให้คนทั้งประเทศเตรียมตัวรับสงคราม และวิธีปลุกใจคนในสมัยนั้นที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งก็คือการทำโปสเตอร์ไปติดทั่วอังกฤษ

โดยดร.นิเวศน์ ก็เคยเขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อ 3-4 ปีก่อน ซึ่งดัดแปลงให้เข้ากับสถานการณ์ตลาดหุ้นที่กำลังร่วงลงอย่างรุนแรง แต่ดร.นิเวศน์ ไม่แนะนำให้ขายหุ้นหนีตาย โดยกล่าวว่า “Stay Calm Stay Invested” หรือ “ใจเย็น ๆ ถือหุ้นต่อไป”

แต่สำหรับวิกฤตหุ้นช่วงนี้ ในปี 2025  ดร.นิเวศน์ไม่ได้แนะนำให้ “ถือยาวไว้ก่อน” แบบที่ผ่านมา เพราะรอบนี้ไม่เหมือนเดิม โดยบอกตรง ๆ เลยว่า “Keep Calm, Keep Cash” ต่างหาก เป็นสิ่งที่ควรทำตอนนี้ คือการ “ใจเย็น ๆ มีสติ เก็บเงินสด” โดยไม่ได้ขายหุ้นอย่างตกใจ แต่จะถือเงินสดที่มี อาจจะขายหุ้นเพิ่มบ้าง และรอว่าเมื่อราคาหุ้นร่วงลงไปอีก ถึงจะนำเงินสดออกมาเก็บหุ้นที่มีราคาถูก หรือสมเหตุผล ในกรณีของหุ้นที่ดีสุดยอดแบบซุปเปอร์สต็อกที่ราคาลงมาอย่างมาก

แม้จะมีคำแนะนำคลาสสิกที่ว่า “Sell in May and Go Away” ที่ว่ากันว่าหุ้นมักแย่ในเดือนพฤษภาคม แต่ปีนี้ ดร.นิเวศน์กลับบอกว่า “ขายบางตัวไปก่อนที่ยังไม่ลงแรง แล้วรอเก็บของดีตอนที่ตลาดเจ็บหนักจริง” 

ดร.นิเวศน์ยอมรับตรง ๆ ว่า ไม่ได้หวังจะได้กำไรงามแบบรอบก่อน ๆ เพราะครั้งนี้อาจลากยาวไปอีกหลายปี โดยเฉพาะหากโลกเดินหน้าสู่ยุค “ปิดกั้นการค้า” แทนที่จะเป็น “โลกเสรี” แบบที่เราคุ้นเคย

ทำไมต้อง “เก็บเงินสด”? เพราะแม้ตอนนี้หลายคนยังฝันหวานกับพอร์ตหุ้นที่ดูปลอดภัย กระจายความเสี่ยงดี ไม่ใช้มาร์จิน ไม่มีหุ้นเก็งกำไร แต่ในวิกฤตใหญ่ระดับเปลี่ยนเกมเศรษฐกิจโลกแบบที่เรากำลังเผชิญ โดยเฉพาะสงครามการค้าระหว่างสองมหาอำนาจ อย่างอเมริกา-จีน ก็อาจไม่มีใครรอด ถ้าหากตลาดล่มทั้งกระดาน ต่อให้ถือแต่ “หุ้นเทพ” พอร์ตคุณก็อาจจมลงได้ 

เหมือนข้อคิดที่ได้จากโปสเตอร์ใบที่ 2 ที่ ดร.นิเวศน์เห็น เมื่อไปเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ “ไททานิค” ที่เมืองเซ้าแทมป์ตัน เมืองท่าสำคัญใกล้กรุงลอนดอนซึ่งเป็นท่าเรือที่เรือไททานิคออกเดินทางไปสู่เมืองนิวยอร์คของอเมริกาของสายการเดินเรือ White Star Line ในปี 2455

โดยโปสเตอร์นี้ โฆษณาก่อนการเดินทางเที่ยวแรกที่ ประกาศชักชวนให้คนร่วมเดินทาง “ครั้งประวัติศาสตร์” มีภาพเรือไททานิคที่ใหญ่โตพร้อมกับข้อความเขียนว่า “ไททานิค ขนาด 45,000 ตัน เรือกลไฟขนาดใหญ่ที่สุด และปลอดภัยที่สุดในโลก” ซึ่งไททานิคที่เขาเชื่อว่า “ไม่มีวันจม” แต่สุดท้ายก็พังตั้งแต่การเดินทางเที่ยวแรก

“ข้อเตือนใจ” สำหรับผมก็คือ “หายนะ” นั้น เกิดขึ้นได้เสมอ แม้จะคิดว่าเราอยู่ในที่ที่ “ปลอดภัยที่สุด” ใครจะไปคิดว่าเรือที่ออกแบบมาอย่างดีสุดยอด ใหญ่ที่สุดในโลก โดยเทคโนโลยีที่ดีที่สุดของอังกฤษซึ่งเป็นมหาอำนาจทางเรือ “อันดับหนึ่ง” ของโลกในช่วงนั้น พร้อม ๆ กับกัปตันเรือ “หมายเลข 1” ในยุคนั้น ซึ่งคงจะทำให้คนเชื่อว่านี่คือเรือที่ “ไม่มีวันจม” จะจมลงตั้งแต่การเดินทางเที่ยวแรก

หุ้นก็เช่นเดียวกัน ไม่ว่าเราจะเชื่อมั่นแค่ไหนว่าพอร์ตของเรา “ปลอดภัย” หรือด้วยการออกแบบที่ลดความเสี่ยง โดยการกระจายความเสี่ยงเป็นอย่างดี ถือหุ้นกระจายไปทั่วทุกตลาดหรือทั่วโลก หุ้นที่ถือก็เป็นหุ้นที่ดี มีส่วนเผื่อความปลอดภัยสูง ไม่มีการใช้มาร์จินในการลงทุน และเราคิดว่า ยังไงเสีย การขาดทุนก็ไม่น่าจะเกิน 20-30% ในกรณีเลวร้ายที่สุด

เราก็ยังจะต้องระมัดระวังอยู่ดีว่า ยังมีโอกาสที่พอร์ตจะเกิด “หายนะ” ระดับ “ไททานิค” ได้ เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ การ “กระจายความเสี่ยง” โดยการถือหุ้นหลาย ๆ ตัวนั้น จริง ๆ สามารถลดความเสี่ยงได้เฉพาะความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากหุ้นแต่ละตัวเท่านั้นกรณีที่เราเลือกหุ้นผิด แต่มันจะไม่สามารถลดความเสี่ยงได้ถ้า “ทั้งตลาดล่มสลาย” ซึ่งกรณีแบบนั้น “ไม่มีหุ้นตัวไหนหรือใครรอด”

กล่าวโดยสรุปก็คือ “วิกฤต” รอบนี้ ถ้าเกิดขึ้นเต็มรูปแบบจริง ซึ่งก็อาจจะในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า ผมยังไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วหุ้นจะตกลงมาแค่ไหน และเมื่อตกลงมาแล้ว ราคาหุ้นจะฟื้นกลับคืนมาเมื่อไรในเวลากี่ปีหรือกี่เดือน เมื่อเปรียบเทียบกับวิกฤตรอบก่อน ๆ ที่เราพบว่าหุ้น เมื่อวัดจากดัชนีจะตกลงมาประมาณ 50% และใช้เวลา อาจจะซัก 2-3 ปีที่จะกลับมาที่เดิม

ดังนั้น สิ่งที่ผมทำก็คือ ใจเย็น ตั้งสติ เก็บเงินสดไว้ระดับหนึ่ง และทยอยเก็บเพิ่มโดยการขายหุ้นที่ยังไม่ได้ตกลงมามากนักในช่วงนี้ เพื่อเตรียมตัวซื้อหุ้นดีที่ตกลงมามากเกินไปเมื่อสถานการณ์เศรษฐกิจแย่ลงเนื่องจากสงครามการค้า

อย่างไรก็ตาม ผมไม่คิดและไม่หวังว่าผมจะได้กำไรงดงามในยามวิกฤติครั้งนี้ เพราะผมกลัวว่า วิกฤตอาจจะไม่ฟื้นง่ายและอาจจะลากยาวเป็นหลาย ๆ ปีมาก โดยเฉพาะถ้าโลกเปลี่ยนจากการค้าเสรีเป็นการค้าแบบปิดกั้น ซึ่งจะทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจทั้งโลกเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลง ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น หุ้นก็อาจจะมีแต่ดำดิ่งคล้ายเรือไททานิค ในกรณีแบบนั้น กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นก็จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ที่มา  : prachachat