<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

รองผอ. CIA สหรัฐฯ ยก “Bitcoin” ให้เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำหรับใช้ต่อกรรัฐบาลจีน

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ล่าสุดได้เกิดประเด็นที่น่าจับตามองในวงการคริปโทฯ เมื่อ Michael Ellis รองผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ หรือ “CIA” ออกมาเปิดมุมมองที่น่าสนใจว่า Bitcoin ไม่ได้เป็นเพียงสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีมูลค่าขึ้นลงเท่านั้น แต่ยังเป็นเหมือน “เครื่องมือลับ” อีกชิ้นหนึ่งที่สหรัฐฯ สามารถนำมาใช้ในการต่อกรกับรัฐบาลจีน

Michael Ellis ซึ่งเป็นผู้ที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งสำคัญใน CIA เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการพอดแคสต์ของ Anthony Pompliano โดยเขาได้กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า หน่วยงาน CIA สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีของ Bitcoin เพื่อสร้างความได้เปรียบเชิงการแข่งขันกับมหาอำนาจอย่างจีนได้

Ellis กล่าวว่า “นี่คืออีกหนึ่งสมรภูมิการแข่งขันทางเทคโนโลยีที่เราต้องทำให้แน่ใจว่า สหรัฐฯ จะมีความพร้อมรับมือกับจีนและศัตรูคนอื่นๆ ได้” พร้อมเสริมว่า “Bitcoin และคริปโทเคอร์เรนซีตัวอื่นๆ เป็นเหมือนเครื่องมืออีกชิ้นหนึ่งของเรา”

รองผอ. CIA อธิบายเพิ่มเติมว่า สหรัฐฯ สามารถเข้าไปแทรกแซงการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ของศัตรูได้ และที่น่าสนใจคือ พวกเขายังสามารถใช้คริปโทเป็นช่องทางในการรวบรวมข่าวกรอง หรือดึงข้อมูลเชิงลึกจากพฤติกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนบล็อกเชน เพื่อศึกษาและทำความเข้าใจศัตรูได้อีกด้วย

นับตั้งแต่ประธานาธิบดี Donald Trump ผู้ซึ่งเป็นมิตรกับวงการคริปโทฯ เข้ามาบริหารประเทศเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐฯ ก็เริ่มแสดงท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน อาทิ การยุติคดีความที่เกี่ยวข้องกับหลายบริษัทในอุตสาหกรรมคริปโทฯ และยังมีการจัดตั้ง “คลังสำรอง Bitcoin” อย่างเป็นทางการ

แม้ว่า Trump จะเคยให้คำมั่นสัญญาว่า จะทำให้สหรัฐฯ กลายเป็น “เมืองหลวงแห่งโลกคริปโทฯ” แต่ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่กังวลว่าเทคโนโลยีเหล่านี้ อาจกลายเป็นช่องทางให้พวกอาชญากรหรือผู้ไม่หวังดี ใช้หลบเลี่ยงการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ได้ง่ายขึ้น

Michael Ellis รองผู้อำนวยการ CIA เองก็ยอมรับว่า คริปโทเคอร์เรนซีมักถูกใช้โดยกลุ่มอาชญากร โดยเฉพาะแฮ็กเกอร์จากเกาหลีเหนือ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการขโมยเงินดิจิทัลครั้งใหญ่หลายครั้ง และยังใช้แอปพลิเคชันต่างๆ เพื่อซ่อนเส้นทางของเงินที่ขโมยมา

อย่างไรก็ตาม Ellis ยังคงมองว่า Bitcoin และคริปโทฯ จะไม่หายไปไหน โดยเขากล่าวว่า “Bitcoin อยู่ต่อแน่นอน คริปโทฯ อยู่ต่อแน่นอน เพราะตอนนี้หลายสถาบันก็เริ่มหันมายอมรับมันมากขึ้น และผมคิดว่านั่นเป็นสัญญาณที่ดี”

ตอนนี้หน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ก็เริ่มทำงานร่วมกับบริษัทวิเคราะห์ข้อมูลบล็อกเชน เพื่อช่วยติดตามร่องรอยของพวกอาชญากรไซเบอร์ที่ใช้คริปโตซ่อนตัว และที่น่าสนใจคือ ปัจจุบันรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นเจ้าของ Bitcoin มากที่สุดในโลก มากถึงกว่า 198,000 BTC หรือราวๆ 19,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งส่วนใหญ่ได้มาจากการยึดทรัพย์ของอาชญากรทั้งสิ้น

ที่มา:decrypt