ผู้พัฒนาของ Ethereum ได้ประกาศเปิดใช้งานอัปเกรดครั้งใหญ่ภายใต้ชื่อ “Pectra” บนเครือข่ายหลัก (Mainnet) แล้วเมื่อเช้าตรู่ของวันที่ 7 พฤษภาคม ที่ epoch 364032 ซึ่งนับเป็นการอัปเกรดที่ใหญ่ที่สุดของ Ethereum นับตั้งแต่ “The Merge” เมื่อปี 2022
โดยในคราวนี้มาพร้อมการปรับปรุงผ่าน Ethereum Improvement Proposal (EIP) ถึง 11 รายการที่เน้นเพิ่มประสิทธิภาพการสเตก (staking), ประสบการณ์ผู้ใช้ (UX), การทำงานของวาลิเดเตอร์ และศักยภาพการขยายตัวของ Layer 2
ก่อนเปิดตัวจริง อัปเกรดนี้ผ่านการทดสอบบน testnet อย่าง Holesky, Sepolia และ Hoodi แม้จะเจอปัญหาการตั้งค่าบางส่วน โดยเฉพาะ Holesky ที่วาลิเดเตอร์มีการกำหนดค่าผิดพลาด แต่สุดท้าย Hoodi testnet ซึ่งเปิดใช้งานในเดือนมีนาคม 2025 ก็ช่วยปูทางให้การอัปเกรดครั้งนี้สำเร็จได้อย่างมั่นคง
การอัปเกรด Pectra ได้ถูกออกแบบมาเพื่อสานต่อจาก Dencun ซึ่งเป็นการอัปเกรดเมื่อมีนาคม 2024 ที่เพิ่ม proto-danksharding ผ่าน EIP-4844 โดยเป้าหมายของ Pectra คือการแก้จุดติดขัดของเครือข่าย เพิ่มความลื่นไหลในการใช้งาน และวางรากฐานสำหรับอัปเกรดอนาคตอย่าง Fusaka ที่จะนำ Verkle Trees และ PeerDAS มาเสริมขีดความสามารถให้ Ethereum ยิ่งขึ้นไปอีก
ซึ่งหนึ่งใน EIP ที่น่าจับตามากที่สุดคือ EIP-7702 ที่เสนอโดย Vitalik Buterin ผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum เปิดทางให้กระเป๋าเงินของผู้ใช้งานสามารถรัน logic ของ smart contract ได้ชั่วคราว นี่คือก้าวสำคัญสู่ “account abstraction” ที่ทำให้กระเป๋าเงินรองรับฟีเจอร์ขั้นสูง เช่น ให้ dApp ออกค่าแก๊สแทน หรือรวมหลายคำสั่งไว้ในธุรกรรมเดียวเพื่อลดต้นทุนและความซับซ้อน รวมถึงรองรับฟีเจอร์กู้คืนกระเป๋าเงินผ่านบุคคลที่ไว้ใจได้ในอนาคต
รวมถึง EIP-7251 ซึ่งเป็นอีกจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับสายสเตก โดยเพิ่มเพดานการถือครองวาลิเดเตอร์จาก 32 ETH เป็น 2,048 ETH ทำให้ผู้ถือรายใหญ่สามารถรวมวาลิเดเตอร์หลายตัวเป็นหนึ่งเดียว ลดภาระการจัดการ และประหยัดต้นทุนอุปกรณ์ แต่ก็มีเสียงวิจารณ์ว่าอาจนำไปสู่การกระจุกตัวของอำนาจในเครือข่าย”
ในขณะเดียวกัน EIP-7691 ก็เพิ่มจำนวน “blob” ต่อบล็อก ซึ่งเป็นข้อมูลชั่วคราวที่ใช้โดย Layer 2 rollup อย่าง Arbitrum และ Optimism ให้สามารถประมวลผลเร็วขึ้น และลดค่าธรรมเนียมได้มากถึง 100 เท่า ถือเป็นการเสริมศักยภาพ Layer 2 ที่กำลังโตแบบก้าวกระโดด
ส่วน EIP อื่นๆ ก็ช่วยเติมเต็มระบบ เช่น EIP-7002 ที่ให้สามารถถอนเงินจากการสเตกผ่าน execution layer ได้โดยไม่ต้องใช้กุญแจวาลิเดเตอร์หลัก ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกโจมตี, EIP-6110 ที่ลดเวลา onboarding วาลิเดเตอร์จาก 12 ชั่วโมงเหลือแค่ 13 นาที และ EIP-2935 ที่เก็บค่า hash ของบล็อกเก่าใน state ช่วยให้สัญญาอัจฉริยะเข้าถึงข้อมูลย้อนหลังได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งผู้ให้บริการภายนอก
สุดท้ายยังมี EIP-7623, 2537, 7685, 7549 และ 7840 ที่เข้ามาช่วยจูนรายละเอียดของค่าธรรมเนียม การจัดการข้อมูล และความปลอดภัยของระบบให้แน่นขึ้นอีกระดับ ทำให้ Pectra เป็นอีกก้าวสำคัญที่สะท้อนการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งของ Ethereum ทั้งในมิติเทคนิคและความสามารถในการรองรับผู้ใช้งานและแอปพลิเคชันใหม่ๆ ในอนาคต
ที่มา: TheBlock