ธนาคารยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ กำลังหมากครั้งสำคัญในโลกคริปโต โดยล่าสุด The Wall Street Journal รายงานว่า JPMorgan Chase, Bank of America, Citigroup, Wells Fargo และอีกหลายแบงก์ใหญ่ของอเมริกา กำลังอยู่ในขั้นตอน “สำรวจเบื้องต้น” สำหรับการพัฒนาโปรเจกต์ Stablecoin ร่วมกัน เพื่อรับมือกับแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลที่กำลังแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดไปเรื่อย ๆ
แหล่งข่าวจาก The Wall Street Journal รายงานว่า ขณะนี้มีความพยายามในการรวมตัวของบริษัทในเครือของ JPMorgan Chase, Bank of America, Citigroup, Wells Fargo รวมถึงธนาคารชั้นนำอีกหลายแห่ง เพื่อผลักดันโปรเจกต์ Stablecoin
กลุ่มที่เข้ามาถือธงนำในครั้งนี้ ได้แก่ Early Warning Services (EWS) ผู้ให้บริการ Zelle แอปโอนเงินที่หลายคนในอเมริกาใช้กันอยู่ และ The Clearing House (TCH) ระบบหลังบ้านที่ดูแลการชำระเงินแบบเรียลไทม์ระหว่างธนาคารมายาวนาน เรียกได้ว่าไม่ใช่หน้าใหม่ในวงการชำระเงิน
แต่โปรเจกต์นี้ยังไม่สามารถเดินหน้าเต็มสปีดได้ เพราะยังต้องรอ “ไฟเขียว” จากภาครัฐ โดยเฉพาะร่างกฎหมายใหม่ที่ชื่อว่า GENIUS Act (ชื่อเต็ม ๆ คือ Guiding and Establishing National Innovation for US Stablecoins Act) ซึ่งกำลังอยู่ในขั้นตอนพิจารณาของวุฒิสภา หากผ่านเมื่อไร ก็เท่ากับว่าธนาคารจะสามารถออก Stablecoin ได้แบบถูกกฎหมายทันที
ที่น่าสนใจคือ แบงก์ใหญ่หลายเจ้าก็แอบทดลองทำ Stablecoin กันอยู่แล้วแบบเงียบ ๆ เช่น JPMorgan ที่มีโทเคนของตัวเองชื่อ JPM Coin เอาไว้ใช้โอนเงินข้ามระบบในเครือ, ส่วน Wells Fargo ก็ไม่แพ้กัน พัฒนาสกุลเงินดิจิทัลของตัวเองในชื่อ Wells Fargo Digital Cash ซึ่งยังใช้แค่ในวงบริษัท ส่วน Bank of America แม้ยังไม่มีโปรเจกต์บนโต๊ะ แต่ซีอีโออย่าง Brian Moynihan ก็ส่งสัญญาณชัดว่า “พร้อมเมื่อไหร่ก็ลุยได้ทันที”
ขณะเดียวกัน Well Fargo ยังได้มีการพัฒนา Wells Fargo Digital Cash ที่เปรียบเสมือน Stablecoin ที่ตรึงกับเงินดอลลาร์ ทว่าพวกเขายังคงใช้งานกันภายในบริษัทเท่านั้น ส่วนทางด้าน Bank of America แม้จะยังไม่มีการทดลองใด ๆ แต่ทางฝั่งของ CEO อย่าง Brian Moynihan ได้แสดงความพร้อมว่าพวกเขาพร้อมเข้ามาได้ตลอดเวลา
แต่ทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความว่าธนาคารจะกระโดดลงสนามคริปโตแบบทุ่มสุดตัว เพราะความทรงจำจากการล่มสลายของ FTX ยังตามหลอนอยู่ไม่หาย และก็ส่งผลให้ธนาคารอย่าง Silvergate และ Signature ที่เคยโอบรับคริปโตต้องล้มหายตายจากไปด้วย
นั่นจึงทำให้หลายธนาคารชะลอแผนการด้านคริปโตกันมานาน จนกระทั่งตอนนี้ที่สหรัฐฯ เริ่มกลับมามีผู้นำที่เปิดกว้างกับสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น (ใครจะมองว่าเป็นเพราะทรัมป์ก็ไม่ว่ากัน) จึงถึงเวลาแล้วที่ธนาคารจะลุกขึ้นมาทวงพื้นที่ในเกม Stablecoin คืนมาบ้าง
ที่มา : Crypto Briefing