<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

Google เตือน ! ควอนตัมคอมพิวเตอร์อาจแฮ็ก Bitcoin ได้เร็วกว่าที่คาดไว้

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ในช่วงระยะหลังมานี้ “ควอนตัมคอมพิวเตอร์” เริ่มถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงมากขึ้นในวงการคริปโตเนื่องจากความสามารถของมันอาจเป็นภัยคุกคามอันใหญ่หลวงให้กับเทคโนโลยีเข้ารหัสที่ใช้กันในอุตสาหกรรมคริปโต

เดิมทีนักวิจัยหลายคนคาดการณ์ว่า ภัยคุกคามนี้เป็นเรื่องที่ยังคงไกลตัวและอาจยังไม่เกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้ แต่งานวิจัยล่าสุดของ Google กลับพบว่า พวกเขาอาจประเมินผิดและควอนตัมคอมพิวเตอร์อาจมาเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้

Google กล่าวว่า ความก้าวหน้าล่าสุดนี้เป็นการนำพาควอนตัมคอมพิวติ้งเข้าใกล้ความเป็นจริงในการใช้งานมากขึ้น และอาจกลายเป็นภัยคุกคามต่อความปลอดภัยของ Bitcoin ในอนาคต

Craig Gidney นักวิจัยด้านควอนตัมของ Google เผยว่า การเจาะระบบเข้ารหัส RSA ที่ใช้ปกป้องกระเป๋าคริปโตในปัจจุบัน อาจใช้ทรัพยากรของคอมพิวเตอร์ควอนตัมน้อยกว่าที่เคยคาดถึง 20 เท่า

อ้างอิงจากงานวิจัยของ Gidney และ Ekera เมื่อปี 2019 ที่เคยประเมินว่า การแยกตัวประกอบของตัวเลข RSA ขนาด 2048 บิต จะต้องใช้คอมพิวเตอร์ควอนตัมที่มี 20 ล้านคิวบิต และใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมง ถึงจะทำสำเร็จ แต่จากการพัฒนาแนวทางใหม่ล่าสุด Gidney พบว่าสามารถลดจำนวนคิวบิตที่จำเป็นลงได้อย่างมีนัยสำคัญ ทำให้การเจาะระบบเป็นไปได้ง่ายและเร็วขึ้นกว่าที่คาดไว้

นอกจากนี้ Google ยังเปิดตัวชิปควอนตัมรุ่นล่าสุดในชื่อว่า “Willow” ซึ่งมีพลังประมวลผลสูงถึงขั้นที่สามารถแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ทั่วไปต้องใช้เวลาถึง ล้านล้านล้านล้านปี ในเวลาเพียง 5 นาที เท่านั้น หากได้รับการสนับสนุนด้านทรัพยากรอย่างเต็มที่ ชิปตัวนี้อาจมีศักยภาพถึงขั้น แฮ็ก Bitcoin ของซาโตชิ ได้เลยทีเดียว

แม้ว่า Bitcoin จะใช้ระบบเข้ารหัสแบบ Elliptic Curve Cryptography (ECC) ซึ่งต่างจาก RSA แต่ทั้งสองระบบต่างใช้หลักคณิตศาสตร์ที่คล้ายกัน ทำให้เกิดคำถามว่า ถ้า RSA ถูกเจาะได้แล้ว ECC จะรอดหรือไม่? และนั่นอาจหมายถึงภัยคุกคามต่อโครงสร้างความปลอดภัยของ Bitcoin ในอนาคตหากไม่มีการอัปเกรดมาตรฐานให้ต้านทานควอนตัม

อย่างไรก็ดี Gidney เตือนว่า ก่อนที่เราจะเปลี่ยนไปใช้ระบบเข้ารหัสที่ปลอดภัยจากควอนตัม (quantum-safe cryptosystems) เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนก่อนว่า การโจมตีด้วยคอมพิวเตอร์ควอนตัมในความเป็นจริงนั้นต้องใช้ทรัพยากรมากแค่ไหน โดยเฉพาะกับระบบที่ยังมีช่องโหว่

ดังนั้น จากข้อมูลล่าสุดที่มีอยู่ในตอนนี้ ยังไม่มีเหตุผลให้ตื่นตระหนก เพราะเทคโนโลยีควอนตัมยังไม่พัฒนาถึงขั้นที่สามารถโจมตีเครือข่ายคริปโตได้จริงในทางปฏิบัติ นั่นหมายความว่า สินทรัพย์ดิจิทัลของผู้คนทั่วไปยังคงปลอดภัย อย่างน้อยก็ในช่วงเวลานี้ จนกว่าความก้าวหน้าของควอนตัมจะมาถึงจุดที่เริ่มคุกคามระบบความปลอดภัยอย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมองโลกในแง่ดีไปเสียหมด เช่นเดียวกับ Project 11 ทีมวิจัยคอมพิวเตอร์ควอนตัมอีกกลุ่มหนึ่ง ที่แสดงความเชื่อมั่นว่าในอนาคต คอมพิวเตอร์ควอนตัมที่สามารถใช้งาน อัลกอริทึมของ Shor (Shor’s Algorithm) ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ อาจมีศักยภาพเพียงพอในการเจาะระบบการเข้ารหัสของ Bitcoin ได้เช่นกัน

ทีมวิจัยจาก Project 11 ได้เสนอเงินรางวัลกว่า 85,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ให้กับใครก็ตามที่สามารถใช้คอมพิวเตอร์ควอนตัมเจาะระบบการเข้ารหัสของ Bitcoin ได้ แม้จะเป็นเพียงการโจมตีในระดับพื้นฐานที่สุดก็ตาม

ปัจจุบันทีมงานกำลังทดสอบคีย์ที่มีขนาดตั้งแต่ ทดสอบกับคีย์ที่มีขนาดเพียง 1 ถึง 25 บิต ซึ่งแม้จะเล็กกว่าคีย์เข้ารหัสของ Bitcoin ที่ใช้ 256 บิต อยู่มาก แต่จุดประสงค์คือการวัดความคืบหน้าและแนวโน้มของเทคโนโลยีในแต่ละช่วงเวลา พวกเขาเชื่อมั่นว่า หาก Shor’s Algorithm สามารถถูกใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพในคอมพิวเตอร์ควอนตัมขั้นสูง ก็มีโอกาสสูงที่ระบบความปลอดภัยของ Bitcoin จะถูกเจาะได้ในอนาคต

ด้าน สถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีแห่งชาติของสหรัฐฯ (NIST) ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยได้เผยแพ้มาตรฐานระบบเข้ารหัสที่ปลอดภัยต่อควอนตัม (post-quantum cryptography) ไปตั้งแต่ปีที่ผ่านมา พร้อมแนะนำให้เลิกใช้ระบบที่มีความเสี่ยงภายในปี 2030 อย่างไรก็ตาม งานวิจัยล่าสุดของ Google ระบุว่า เส้นตายนี้อาจต้องขยับให้เร็วขึ้น หากไม่ต้องการให้เกิดช่องโหว่ในระบบก่อนเวลาอันควร

ในขณะเดียวกัน IBM ได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยโตเกียวและมหาวิทยาลัยชิคาโก เพื่อวางแผนสร้างคอมพิวเตอร์ควอนตัมที่มีความสามารถ 100,000 คิวบิต ภายในปี 2030 ขณะที่บริษัท Quantinuum ตั้งเป้าไว้อย่างทะเยอทะยานว่าจะสร้างคอมพิวเตอร์ควอนตัมที่ปลอดภัยต่อการถูกแฮ็กอย่างสมบูรณ์ ภายในปี 2029 นี้


ที่มา : Cryptopolitan