สำนักงานกำกับดูแลบริการทางการเงินดูไบ (Dubai Financial Services Authority – DFSA) ได้อนุมัติให้ใช้งาน RLUSD stablecoin ของ Ripple อย่างเป็นทางการ ซึ่งจะทำให้บริษัทต่าง ๆ ในเขตศูนย์กลางการเงินระหว่างประเทศดูไบ (Dubai International Financial Centre – DIFC)
โดย DIFC สามารถใช้เหรียญนี้ในการให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัลต่าง ๆ ได้ เช่น การชำระเงิน บริหารสภาพคล่อง และบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
DIFC ถือเป็นเขตเศรษฐกิจเสรีที่มีบทบาทสำคัญในภูมิภาคตะวันออกกลาง แอฟริกา และเอเชียใต้ โดยสิ้นปี 2024 มีบริษัทลงทะเบียนอยู่แล้วเกือบ 7,000 แห่ง ภายใต้กรอบการกำกับดูแลของ DIFC จะสามารถใช้เฉพาะเหรียญที่ได้รับการอนุมัติจาก DFSA เท่านั้นในระบบนิเวศที่อยู่ภายใต้การควบคุม
Ripple ระบุว่าในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ธุรกิจต่าง ๆ ให้ความสนใจในโซลูชันด้านคริปโตมากขึ้น “เศรษฐกิจดิจิทัลของ UAE มีความเคลื่อนไหวและมีพลวัตสูงมาก” Reece Merrick กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาของ Ripple กล่าว
“เรากำลังเห็นความสนใจอย่างมหาศาลจากธุรกิจทุกระดับต่อบริการการชำระเงินข้ามพรมแดนและการดูแลสินทรัพย์ดิจิทัล”
Ripple เปิดเผยด้วยว่ากำลังทำงานร่วมกับพันธมิตรท้องถิ่นหลายราย เช่น ธนาคารดิจิทัล Zand และแพลตฟอร์มฟินเทค Mamo ซึ่งคาดว่าจะเป็นกลุ่มผู้ใช้งานกลุ่มแรกที่รับ RLUSD ไปใช้ในบริการชำระเงินที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแล
นอกจากนี้ RLUSD ยังมีบทบาทในโครงการของ Dubai Land Department ซึ่งมีแผนใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนเพื่อออกโทเคนสำหรับทรัพย์สินอสังหาริมทรัพย์ โดย Ripple ระบุว่าจะมีการบันทึกโฉนดที่ดินไว้บนเครือข่าย XRP Ledger
เมื่อวันที่ 19 มีนาคมที่ผ่านมา ทาง Dubai Land Department ได้ประกาศเริ่มเฟสทดลองสำหรับโครงการออกโทเคนอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีเป้าหมายเป็นระบบจดทะเบียนที่ใช้บล็อกเชนในการจัดการโฉนด
การอนุมัติ RLUSD stablecoin ครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจาก Ripple ได้รับใบอนุญาตเต็มรูปแบบในการดำเนินธุรกิจใน DIFC เมื่อวันที่ 13 มีนาคมที่ผ่านมา โดย RLUSD เป็นหนึ่งในเหรียญ stablecoin เพียงไม่กี่รายที่ได้รับการรับรองทั้งจาก DFSA และ New York Department of Financial Services (NYDFS) ซึ่งให้ใบอนุญาต Trust Company Charter แก่ RLUSD เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม
นอกจาก RLUSD แล้ว DFSA ยังรับรองให้ใช้เหรียญ stablecoin จาก Circle อย่าง USDC และ EURC ในเขตเศรษฐกิจเสรี DIFC ด้วยเช่นกัน
ที่มา: Cointelegraph

