ในปี 2024 ที่ผ่านมา ผู้ใช้คริปโตในสหรัฐฯ สูญเงินรวมกันกว่า 9.3 พันล้านดอลลาร์จากอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 66% จากปีก่อนหน้า โดยเฉพาะผู้สูงอายุวัยเกิน 60 ปีที่เสียหายสูงสุดถึง 2.8 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่กลุ่มแฮ็กเกอร์จากเกาหลีเหนือก็สามารถขโมยคริปโตจากแพลตฟอร์มต่างๆ ได้ถึง 1.34 พันล้านดอลลาร์ คิดเป็น 61% ของมูลค่าที่ถูกขโมยทั้งหมด

Navin Gupta CEO ของ Crystal บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลบล็อกเชน เผยว่า กลโกงในวงการคริปโตทุกวันนี้ไม่ได้ใช้เทคนิคเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่ “เจาะลึกจิตวิทยามนุษย์” อย่างแยบยล ผู้ร้ายจะสร้างความน่าเชื่อถือผ่านบทบาท เช่น ผู้บริหาร โปรเจกต์ หรือฝ่ายซัพพอร์ต ก่อนกดดันให้เหยื่อรีบตัดสินใจ เช่น การอ้างว่า “โอกาสนี้มีจำกัด” หรือแฝงตัวอยู่ในคอมมูนิตี้ Discord, Telegram จนสนิทกับเหยื่อแล้วค่อยหลอกลงทุน
โดยรูปแบบการขโมยที่กำลังเติบโตในปี 2024–2025 คือ “การโจมตีเฉพาะบุคคล” ที่อาศัยข้อมูลรั่วไหลและ AI มาสร้างโปรไฟล์หลอกลวงที่ตรงเป้า เช่น ใช้ภาษาของเหยื่อ, อ้างความช่วยเหลือฉุกเฉิน หรือแม้กระทั่งทำ Deepfake ของผู้มีชื่อเสียงเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ
Gupta ยังเล่าเคสหนึ่งที่เหยื่อถูกส่งอีเมลฟิชชิ่งที่ระบุข้อมูลกระเป๋าเงินและธุรกรรมจาก 3 ปีก่อน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ได้มาจากการเจาะระบบเก่าๆ และนำมาประกอบเข้ากับรายละเอียดส่วนตัวเช่น เมืองที่อยู่ หรืออุปกรณ์ที่ใช้ เพื่อทำให้ข้อความดูน่าเชื่อถือแบบสุดขีด

ในอีกกรณีหนึ่ง ผู้บริหารของกองทุนคริปโตถูกหลอกให้โอนเงินจากข้อความใน Telegram ที่ปลอมตัวเป็น CEO ของบริษัท ซึ่งถูกจับจังหวะระหว่างที่ CEO ตัวจริงกำลังเดินทางและไม่สามารถตรวจสอบได้ทัน นี่คือภาพสะท้อนว่าความปลอดภัยในโลกคริปโตต้องพัฒนาให้เร็วและเฉียบขาดกว่าสินทรัพย์แบบดั้งเดิม
ท้ายที่สุด Gupta ย้ำว่า “ความผิดพลาดของมนุษย์” ยังเป็นต้นเหตุหลักของการหลอกลวงในวงการนี้ “หากทุกคนตั้งสมมติฐานว่าทุกข้อความที่ไม่รู้จักคือภัยคุกคาม จะสามารถลดความเสี่ยงได้ถึง 80%” การหยุดคิดเพียงไม่กี่วินาทีอาจช่วยรักษาทรัพย์สินที่คุณอุตส่าห์สะสมมาได้ทั้งหมดในโลกคริปโตที่โหดร้ายนี้
ที่มา: Cryptonews

