มนุษย์เงินเดือนจำนวนไม่น้อยอาจเคยตั้งคำถามว่า “เงินเดือนแค่ 15,000 จะลงทุนใน Bitcoin ได้จริงเหรอ?” คำตอบคือ “ได้แน่นอน” เพราะการลงทุนใน Bitcoin ไม่จำเป็นต้องใช้เงินก้อนใหญ่ ไม่จำเป็นต้องรวยก่อน และที่สำคัญคือ ไม่ต้องเก่งเรื่องเทรดก็ทำได้ หากใช้กลยุทธ์ที่เรียกว่า DCA หรือ Dollar-Cost Averaging ซึ่งเป็นวิธีลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน โดยจะทยอยซื้อ Bitcoin ด้วยจำนวนเงินเท่า ๆ กันในแต่ละงวด เช่น เดือนละ 1,000 บาท โดยไม่สนใจว่าราคาจะขึ้นหรือลง วิธีนี้จะช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด และเหมาะอย่างยิ่งกับคนที่มีรายได้ประจำแต่ไม่อยากปวดหัวกับการจับจังหวะซื้อขาย
ขั้นแรก ให้คุณเลือกแพลตฟอร์มซื้อขาย ที่เปิดให้บริการในไทยและได้รับใบอนุญาตจาก ก.ล.ต. เช่น Bitkub, Orbix หรือ Binance TH จากนั้นเข้าสู่เว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของเว็บไซต์ที่เลือก แล้วกดสมัครสมาชิก กรอกข้อมูลให้ครบถ้วน พร้อมทำการยืนยันตัวตน (KYC) ซึ่งขั้นตอนนี้ใช้เวลาไม่นาน เมื่อผ่านการยืนยันแล้ว คุณจะสามารถฝากเงินและเริ่มต้นลงทุนได้ทันที
เมื่อสมัครเสร็จ ให้คุณเข้าสู่ระบบและเลือกเมนู “ฝากเงินบาท” โดยระบบจะมีบัญชีธนาคารให้คุณโอนเงินเข้าไปเพื่อเติมเครดิตเข้าสู่บัญชีกระเป๋าเงินของคุณ แนะนำว่าให้เริ่มต้นด้วยจำนวนที่ไม่กระทบกับค่าใช้จ่ายหลัก เช่น 500 ถึง 1,000 บาทต่อเดือน ซึ่งเป็นจำนวนที่เหมาะสมกับมนุษย์เงินเดือนในช่วงเริ่มต้น โดยคุณสามารถตั้งแจ้งเตือนในมือถือไว้ทุกวันที่เงินเดือนออก เช่น ทุกวันที่ 28 แล้ววางแผนซื้อ Bitcoin ในวันที่ 29 ของทุกเดือน เพื่อให้เกิดนิสัยลงทุนอย่างมีวินัย
จากนั้นให้เข้าเมนู “ซื้อเหรียญ” หรือ “Buy” แล้วเลือก Bitcoin (BTC) ใส่จำนวนเงินที่คุณต้องการลงทุน เช่น 1,000 บาท และกดยืนยันการซื้อ หากไม่มั่นใจ สามารถลองซื้อด้วยเงินจำนวนน้อย ๆ ก่อน เช่น 100-200 บาท เพื่อเรียนรู้ระบบให้เข้าใจก่อนแล้วค่อยเพิ่มในเดือนถัดไป

เมื่อคุณเริ่มลงทุนแล้ว อย่าลืมเข้ามาตรวจสอบพอร์ตของคุณเป็นระยะ โดยเข้าไปที่เมนู “พอร์ตการลงทุน” หรือ “My Portfolio” เพื่อดูจำนวน Bitcoin ที่คุณสะสม และจดบันทึกไว้ในสมุดหรือแอปจดโน้ต เพื่อให้เห็นพัฒนาการของพอร์ตการลงทุนของคุณในระยะยาว การจดข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้คุณเข้าใจพลังของ DCA ว่าการลงทุนต่อเนื่องแม้ในช่วงที่ราคาร่วง พอร์ตก็ยังมีโอกาสเติบโตในระยะยาว
ตัวอย่างแผนง่าย ๆ สำหรับเงินเดือน 15,000 บาท คือ แบ่งเงิน 1,000 บาท/เดือน สำหรับลงทุนใน Bitcoin เท่ากับว่าคุณลงทุนเพียง 6.7% ของรายได้ต่อเดือน แต่ถ้าทำต่อเนื่องทุกเดือนเป็นเวลา 4 ปี อ้างอิงจากสถิติล่าสุดแล้วเงินลงทุนรวม 48,000 บาท อาจเติบโตเป็น 115,783 บาท (+140%) หรือมากกว่านั้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพตลาด, การจัดสรรพอร์ตให้เข้ากับความเสี่ยง และวินัยของคุณล้วน ๆ

ภาพ – เปรียบเทียบผลตอบแทนระหว่างการออม Bitcoin และ ทองคำ
สำหรับ สาเหตุที่ต้องเป็น 4 ปี นั่นก็เพราะ ข้อมูลตามสถิติที่ผ่านมาของประวัติศาสตร์ Bitcoin ไม่มีครั้งไหนเลยที่นักลงทุนถือ Bitcoin เกินระยะเวลา 4 ปีจะได้รับผลตอบแทนเป็นขาดทุนแม้จะเข้าซื้อที่ราคายอดก็ตาม หมายความว่า ถ้านักเทรดไม่เทขายออกไปในช่วงเวลาระหว่างนั้นยังไงก็ได้รับผลตอบแทนอย่างแน่นอน กลับกันถ้าครบกำหนด 4 ปี แล้วเรายังไม่รู้สึกจำเป็นที่จะต้องขายก็สามารถเก็บเอาไว้แล้วหาจังหวะที่เหมาะสมก็สามารถทำได้
ตัวอย่างอัตราตอบแทนจากการออม Bitcoin ในระยะยาวด้วยเงิน 1,000/ต่อเดือน ด้วยเงื่อนไขการเข้าซื้อทุกวันที่ 1
- เริ่มออมตั้งแต่ปี 2016 เป็นระยะเวลา 4 ปี – ยอดสุทธิ 249,324 บาท กำไร (+417%)
- เริ่มออมตั้งแต่ปี 2020 เป็นระยะเวลา 4 ปี – ยอดสุทธิ 95,000 บาท กำไร (+97.8%)
- เริ่มออมตั้งแต่ปี 2024 เป็นระยะเวลา 1 ปี – ยอดสุทธิ 19,619 บาท กำไร (+50%)
- เริ่มออมตั้งแต่ต้นปี 2025 (6 เดือน) – ยอดสุทธิ 6,766 บาท กำไร (+12.4%)
ทว่า นักเทรด จำเป็นที่จะต้องตระหนักว่า หากเข้ามาในช่วงขณะนี้ผลตอบแทนที่ได้จาก Bitcoin อาจไม่หวือหวาเท่ากับเมื่อก่อน และที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะมูลค่าตลาดที่ใหญ่ขึ้น และการยอมรับจากสถาบันการเงิน ส่งผลทำให้ความผันผวนของ Bitcoin ลดน้อยลง ซึ่งถือได้ว่าเป็นทั้งข้อดีและข้อเสียของนักลงทุน

คำแนะนำสุดท้ายคือ อย่าลงทุนด้วยเงินที่คุณจำเป็นต้องใช้จ่ายในแต่ละเดือน เช่น ค่าผ่อนบ้าน ผ่อนรถ หรือค่าใช้จ่ายจำเป็นอื่น ๆ รวมถึงเงินสำรองฉุกเฉิน เพราะการลงทุนใน Bitcoin แบบ DCA ต้องอาศัยระยะเวลา ความอดทน และวินัย หากคุณตั้งเป้าหมายไว้ชัดเจน ไม่ใจร้อน และไม่ให้ความผันผวนของตลาดมาทำให้คุณไขว้เขว การลงทุนแบบนี้จะเป็นพลังเงียบที่ค่อย ๆ สร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับคุณในอนาคตได้อย่างแน่นอน

