สำหรับนักลงทุนคริปโตชาวญี่ปุ่น ชื่อของ โยซาวะ ซึบาสะ คือตำนานที่ยังมีลมหายใจ เขาคือบุรุษผู้เคยได้รับฉายาว่า “ทำเงินร้อยล้านเยนในหนึ่งวินาที” และเป็นหนึ่งในผู้ที่สร้างความมั่งคั่งมหาศาลจากการมองเห็นโอกาสในโลกของคริปโตเคอร์เรนซีก่อนใคร แต่ใครจะคาดคิดว่าอีกด้านหนึ่งของชีวิตที่ดูเหมือนจะสมบูรณ์แบบ เขาได้ยอมจำนนต่อยาเสพติดในช่วงที่ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทย จนกลายเป็นโศกนาฏกรรมที่น่าตกตะลึง
เส้นทางชีวิตของโยซาวะเต็มไปด้วยความพลิกผัน เขาเกิดในครอบครัวข้าราชการธรรมดา แต่กลับมีชีวิตวัยรุ่นที่เกเรจนถึงขั้นลาออกจากโรงเรียนมัธยมปลายหลังจากเข้าเรียนได้เพียง 3 วัน ทว่าเขาก็กลับมาพิสูจน์ตัวเองด้วยการสอบเทียบวุฒิและเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยวาเซดะอันทรงเกียรติได้สำเร็จ หลังจากล้มเลิกความตั้งใจที่จะเป็นทนายความ เขาได้หันมาจับธุรกิจขายเสื้อผ้าออนไลน์ “Es Luxoure” ในปี 2006 แต่สุดท้ายก็ต้องประสบกับภาวะล้มละลายเป็นครั้งแรกในปี 2011 พร้อมหนี้สิน 40 ล้านเยน
แต่โยซาวะก็สามารถกลับมาผงาดได้อย่างรวดเร็วในฐานะ “เนโอฮิลส์โซกุ” หรือเจ้าพ่อธุรกิจออนไลน์ยุคใหม่ และโด่งดังเป็นพลุแตกจากหนังสือ “เงื่อนไขในการทำเงินหนึ่งร้อยล้านเยนในหนึ่งวินาที” ก่อนที่ธุรกิจที่สองของเขาจะประสบปัญหาอีกครั้งในปี 2014 การล้มเหลวซ้ำสองนี้ทำให้เขาตัดสินใจหอบเงินก้อนสุดท้ายที่เหลืออยู่ราว 30 ล้านเยน ย้ายไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ในต่างประเทศ โดยปักหลักที่สิงคโปร์และต่อมาคือดูไบ
ที่ดูไบนี่เองที่เขาได้เปลี่ยนบทบาทตัวเองไปเป็นนักลงทุนอย่างเต็มตัว และได้ค้นพบโลกของคริปโตเคอร์เรนซีที่กำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการเติบโต โยซาวะได้ตัดสินใจเดิมพันครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต ด้วยการทุ่มเงินลงทุนกว่า 100 ล้านเยนเข้าซื้อเหรียญ Ripple ( XRP) ในช่วงที่ราคายังต่ำมาก การตัดสินใจครั้งนั้นได้เปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล เมื่อตลาดคริปโตเข้าสู่ภาวะกระทิงครั้งใหญ่ ราคา XRP ได้พุ่งสูงขึ้นมหาศาล เปลี่ยนให้เขากลายเป็นมหาเศรษฐีในชั่วข้ามคืน และเป็นที่รู้จักในฐานะ “ราชาแห่ง XRP” ความมั่งคั่งนี้คือที่มาของไลฟ์สไตล์สุดหรูที่เขาแสดงผ่านโซเชียลมีเดีย ทั้งการอาศัยในตึกบุรจญ์เคาะลีฟะฮ์ และการครอบครองรถซูเปอร์คาร์จำนวนมาก
เรื่องราวบทใหม่ที่นำไปสู่จุดพลิกผันครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของโยซาวะ ซึบาสะ เริ่มต้นขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2022 เมื่อเขาประกาศผ่านอินสตาแกรมว่าตนเอง “ว่างงาน” และกำลังจะย้ายไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ประเทศไทยพร้อมกับครอบครัว การตัดสินใจครั้งนี้ดูเหมือนจะเป็นการแสวงหาความสงบสุขหลังจากประสบความสำเร็จอย่างมหาศาลในฐานะนักลงทุน แต่ฉากสุดท้ายของเรื่องราวบทนี้กลับไม่ได้สวยงามอย่างที่หลายคนคาดคิด ในเดือนกันยายน 2024 เขาได้ประกาศปิดบริษัทที่จดทะเบียนไว้ในดูไบและมาเลเซีย ก่อนที่ทุกอย่างจะดิ่งลงสู่จุดที่มืดมิดที่สุด
ในวันที่ 18 เมษายน 2025 โยซาวะได้สร้างความตกตะลึงไปทั่วสังคมออนไลน์ เมื่อเขาสารภาพผ่านโซเชียลมีเดียว่า ตลอดเวลาที่ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทยนั้น เขาได้ “ติดยาบ้าอย่างหนัก” นอกจากนี้ เขายังได้ยอมรับว่าได้ใช้ความรุนแรงและข่มขู่ภรรยาจนทำให้เธอเกิดความหวาดกลัว ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอต้องพาลูกทั้งสามคนหนีกลับประเทศญี่ปุ่นและนำไปสู่การแยกทางกันในที่สุด ไม่กี่วันหลังจากนั้น ในวันที่ 26 เมษายน เขาได้ประกาศว่าการหย่าร้างกับภรรยาได้มีผลสมบูรณ์แล้ว
หลังจากนั้นพฤติกรรมของเขาก็ยิ่งทวีความสับสนและน่าเป็นห่วงมากขึ้น เขาได้ไลฟ์สดผ่านยูทูบโดยอ้างว่าตนเองอาจถูกฆาตกรรมเพื่อเอาเงินประกันในไม่ช้า และได้ประกาศว่าจะจ่ายเงินค่าตกลงหย่าร้างเป็นเงินสดก้อนเดียวจำนวน 400 ล้านเยน ก่อนที่ในวันที่ 11 พฤษภาคม เขาจะออกมาโพสต์อีกครั้งว่าตัวเลข 400 ล้านเยนนั้นเป็นเพียง “การแสดงบนยูทูบ” และยอดเงินที่ตกลงกันจริงคือ 100 ล้านเยน ท่ามกลางความสับสนนี้ เขาก็ได้บินกลับมายังประเทศญี่ปุ่นอย่างกะทันหัน
หลังจากการโพสต์ครั้งสุดท้ายในวันที่ 12 พฤษภาคม โยซาวะก็เงียบหายไปจากโลกโซเชียลเป็นเวลานานถึง 54 วัน ทำให้เกิดกระแสคาดเดาและความเป็นห่วงต่างๆ นานา จนกระทั่งวันที่ 6 กรกฎาคม เขากลับมาไลฟ์สดอีกครั้งพร้อมกับความจริงที่น่าตกใจยิ่งกว่า
“เอ่อ… ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ ผมเพิ่งได้ต่ออินเทอร์เน็ตในรอบนานมากๆ ต้องขอโทษจริงๆ ที่จู่ๆ ก็หายตัวไป… คือผมถูกนำตัวไปไว้ที่โรงพยาบาลมาครับ” นายโยซาวะกล่าวเปิดคลิปไลฟ์สดจากในรถแท็กซี่ ก่อนจะเปิดเผยความจริงว่า “ผมถูกนำตัวไปไว้ที่โรงพยาบาล 54 วันครับ เพิ่งจะออกมาเมื่อกี้นี้เอง… เขาเรียกว่าการเข้ารับการรักษาแบบคุ้มครองทางการแพทย์ ตอนแรกผมนึกว่าตัวเองโดนจับเสียอีก” เขาเล่าต่อว่าในเช้าวันที่ 13 พฤษภาคม พ่อแม่ของเขาเองเป็นคนพาตัวเขาไปส่งโรงพยาบาลจิตเวชแบบกึ่งบังคับ และถูกนำตัวเข้าวอร์ดผู้ป่วยแบบปิดทันที
ระหว่างการรักษาตัว 54 วัน เขาถูกแยกตัวโดยสมบูรณ์ในช่วง 12 วันแรก และต้องทานยา Risperidone เพื่อควบคุมสารโดปามีนที่หลั่งออกมามากเกินไป ควบคู่ไปกับการใช้ชีวิตอย่างมีระเบียบวินัย ตื่น 05:40 น. และเข้านอน 21:00 น. ทุกวัน เขายังได้อธิบายเพิ่มเติมว่าตนเองได้เข้ารับการตรวจสารเสพติดที่โรงพยาบาลในวันที่ 13 พฤษภาคม ซึ่งผลออกมาเป็นลบทั้งหมด เนื่องจากในตอนนั้นยาได้หมดฤทธิ์จากร่างกายไปแล้ว
ล่าสุดเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม นายโยซาวะได้เดินทางกลับไปยังบ้านพักที่ประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมทั้งโพสต์ข้อความผ่าน X เพื่อขอโทษต่อเหตุการณ์ทั้งหมดและให้คำมั่นว่า “จากนี้ไปจะใช้ชีวิตอย่างมั่นคงในฐานะพลเมืองที่ดี” อย่างไรก็ตาม แฟนคลับจำนวนมากยังคงแสดงความกังวลว่าการที่เขากลับไปอยู่คนเดียวในสภาพแวดล้อมเดิมอาจทำให้เขากลับไปมีสภาพจิตใจที่ไม่มั่นคงและหันไปพึ่งพายาเสพติดอีกครั้ง เนื่องจากตัวเขาเองเคยยอมรับว่าช่วงที่อยู่ประเทศไทยนั้นรู้สึกสิ้นหวังและหมดเป้าหมายในชีวิต
ที่มา: Yahoo

