Vitalik Buterin ผู้ก่อตั้ง Ethereum ได้ออกมาเผยถึงปัจจัยสำคัญในการสร้างโซลูชัน Layer-2 (L2) ให้ประสบความสำเร็จ โดยย้ำว่าวิธีที่ดีที่สุดคือการ “พึ่งพาสิ่งที่ Layer-1 (L1) มีให้อยู่แล้ว” แนวคิดนี้กำลังพลิกโฉมวงการบล็อกเชน และเป็นกุญแจสำคัญสู่ประสิทธิภาพและความปลอดภัย
เขาอธิบายว่า L2 ที่ออกแบบมาให้ใช้ประโยชน์จากความปลอดภัย การจัดเก็บข้อมูล การต้านการเซ็นเซอร์ และกลไกพิสูจน์ความถูกต้องจาก L1 เช่น Ethereum จะสามารถโฟกัสกับการจัดเรียงธุรกรรมและตรวจสอบความถูกต้องได้ดียิ่งขึ้น ผ่านเทคโนโลยีอย่าง Zero-Knowledge Proofs หรือ Fraud Proofs ที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว
ข้อดีของโมเดลนี้ คือช่วยเพิ่มความเร็ว ลดต้นทุน และทำให้ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาความน่าเชื่อถือของผู้ตรวจสอบธุรกรรม (Validator) หน้าใหม่ๆ หาก L2 มีปัญหา ผู้ใช้ยังสามารถอาศัยความมั่นคงจาก Ethereum ในฐานะเครือข่ายความปลอดภัยได้เช่นเดิม
กรณีของ Celo ถือเป็นตัวอย่างชัดเจน หลังจากเปลี่ยนสถานะจาก L1 มาเป็น L2 บน Ethereum พวกเขาสามารถลดเวลาการสร้างบล็อกจาก 5 วินาทีเหลือเพียง 1 วินาที พร้อมลดอัตราการเฟ้อลงครึ่งหนึ่ง ล่าสุด Celo ยังมียอดผู้ใช้งานรายวันแซงหน้า Tron ไปแล้ว สะท้อนถึงศักยภาพของโมเดลใหม่นี้ได้อย่างชัดเจน
Vitalik เชื่อว่า ในอนาคตจะมีบล็อกเชน L1 จำนวนมากเปลี่ยนมาใช้โมเดลเดียวกันนี้ โดยเปลี่ยนมาเป็น L2 บน Ethereum นี่คือวิสัยทัศน์ที่หลายคนเคยคิดว่าเป็นไปไม่ได้ในยุคแรกเริ่มของบล็อกเชน โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่ม ความสามารถในการปรับขนาด (scalability) ความยั่งยืน (sustainability) และความง่ายในการเข้าถึงสำหรับนักพัฒนา ซึ่งไม่ได้ขัดแย้งกับหลักการสำคัญ 4 ประการของบล็อกเชน L1
ที่มา: U.today/tradingVeiw

