<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

“คริปโตมันหลอกลวง” ส.ส. เดโมแครตลั่น จี้รัฐหยุดสนับสนุนคริปโตแล้วสร้างเงินดิจิทัลแทน

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

พรรคเดโมแครตได้เปิดแถลงข่าวเมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดยกล่าวโจมตีอุตสาหกรรมคริปโตเคอร์เรนซีอย่างรุนแรง โดยระบุว่าเป็น “สแกม” หรือการหลอกลวงทั้งสิ้น พร้อมทั้งเรียกร้องให้มีการพัฒนาและออกใช้สกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDC) หรือ “ดอลลาร์ดิจิทัล” แทน การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นท่ามกลางการที่พรรครีพับลิกันกำลังพยายามผลักดันร่างกฎหมายคริปโตหลายฉบับในสภาคองเกรส

แม็กซีน วอเตอร์ส สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้กล่าวว่าร่างกฎหมาย Anti-CBDC Surveillance State Act ซึ่งมีขึ้นเพื่อห้ามการสร้างดอลลาร์ดิจิทัลที่ควบคุมโดยรัฐบาลนั้น แท้จริงแล้วคือ “กฎหมายต่อต้านนวัตกรรม” และยังกล่าวเสริมว่าร่างกฎหมายต่อต้าน CBDC และร่างกฎหมาย Stablecoin (GENIUS Act) นั้น “เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของชาติ”

ขณะที่ สตีเฟน ลินช์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอีกรายหนึ่ง ได้กล่าวโจมตีอย่างเผ็ดร้อนยิ่งกว่า โดยระบุว่าคริปโตเคอร์เรนซีนั้น “ไม่มีกรณีการใช้งานที่ถูกกฎหมายเลย” นอกจากการเป็นเครื่องมือในการเรียกค่าไถ่ของแฮกเกอร์ที่สร้างความเสียหายให้กับธุรกิจในสหรัฐฯ “มันเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงสูงและผันผวนอย่างยิ่ง ซึ่งไม่มีที่ทางในระบบการเงินที่ทำงานได้อย่างปกติและมีการกำกับดูแลที่ดี” เขากล่าว “อุตสาหกรรมทั้งหมดนี้คือการหลอกลวง”

ท่าทีที่แข็งกร้าวของพรรคเดโมแครตเกิดขึ้นในขณะที่หลายประเทศทั่วโลกยังคงมีความเห็นที่แตกต่างกันในเรื่อง CBDC โดยธนาคารกลางของอินเดียได้ประกาศขยายโครงการทดสอบเงินรูปีดิจิทัล และธนาคารกลางออสเตรเลียก็มีแผนที่จะทดสอบ CBDC สำหรับตลาดค้าส่ง แต่ในทางตรงกันข้าม ผู้ว่าการธนาคารกลางแห่งอังกฤษ (Bank of England) กลับมองว่าไม่ควรมีการออก CBDC เพราะอาจกระทบต่อเสถียรภาพของระบบธนาคาร

สำหรับในสหรัฐอเมริกาเอง แนวทางก็ยังคงไม่เป็นเอกภาพ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เคยลงนามในคำสั่งผู้บริหารเพื่อแบน CBDC ไปเมื่อเดือนมกราคม ขณะที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ก็ได้ให้การต่อวุฒิสภาว่าเฟดจะไม่พัฒนา CBDC ภายใต้การนำของเขา

ผลสำรวจชี้ว่าชาวอเมริกันส่วนใหญ่ยังคงต่อต้านหรือไม่ตัดสินใจเกี่ยวกับ CBDC โดยเฉพาะกลุ่มผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกัน ที่มา: Cato Institute

การออกมาผลักดัน CBDC อย่างเต็มตัวของกลุ่ม ส.ส. เดโมแครตในครั้งนี้ จึงเป็นการตอกย้ำถึงความแตกแยกทางความคิดอย่างรุนแรงเกี่ยวกับอนาคตของระบบการเงินของสหรัฐฯ

ที่มา: cointelegraph