ในอีกประมาณ 115 ปีข้างหน้า หรือราวปี ค.ศ. 2140 โลกคริปโตกำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ที่ปราศจากการสร้าง Bitcoin เพิ่มอีกต่อไป นั่นหมายความว่า Bitcoin ทั้งหมด 21 ล้านเหรียญจะถูกขุดจนหมดเกลี้ยง นักขุด Bitcoin จะไม่ได้รับรางวัลจากการสร้างเหรียญใหม่ หรือที่เรียกว่า “Block Subsidy” อีกต่อไป เหลือเพียงแค่ค่าธรรมเนียมจากการทำธุรกรรมเท่านั้น ซึ่งประเด็นนี้ได้ก่อให้เกิดความกังวลและการถกเถียงอย่างกว้างขวางในหมู่นักเชี่ยวชาญทั่วโลก
ปัจจุบันนักขุดมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยประมวลผลธุรกรรมและรักษาความปลอดภัยของเครือข่าย โดยได้รับผลตอบแทนทั้งจาก Block Subsidy และค่าธรรมเนียมที่ผู้ใช้งานจ่ายให้ แต่เมื่อกลไก Bitcoin Halving ที่ลดปริมาณ Bitcoin ที่สร้างใหม่ลงครึ่งหนึ่งทุกๆ สี่ปีดำเนินไปจนถึงจุดที่ Block Subsidy หมดลง รายได้หลักของนักขุดจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก นี่คือความท้าทายที่รออยู่เบื้องหน้าสำหรับระบบนิเวศของ Bitcoin

เปิดรายได้นักขุด Bitcoin ในปี 2025
ข้อมูล On-Chain เผยว่า ในเดือนกรกฎาคม 2025 บล็อก Bitcoin ใหม่แต่ละบล็อกจะมีค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมเป็นรางวัลให้นักขุดอยู่ราวๆ 0.025 BTC ลองเทียบกับ Block Subsidy หรือ Bitcoin ที่สร้างขึ้นใหม่ ซึ่งเป็นรางวัลหลักที่นักขุดได้รับ ที่มีมูลค่าถึง 3.125 BTC
ตัวเลขนี้เองที่ทำให้เห็นว่า “ทิป” เล็กๆ น้อยๆ จากค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมนั้นคิดเป็นเพียงเศษเสี้ยวของรายได้ทั้งหมดของนักขุด Bitcoin เท่านั้น
คำถามสำคัญที่เกิดขึ้นคือ หากในอนาคตตลาด Bitcoin ต้องพึ่งพาเพียงแค่ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมเพียงอย่างเดียว จะเพียงพอหรือไม่ หากค่าตอบแทนในการขุดลดลงมากเกินไป อาจทำให้เครือข่าย Bitcoin เสี่ยงต่อการถูกโจมตีแบบ 51% และอาจนำไปสู่การรวมศูนย์ของเครือข่ายได้
สองมุมมองต่ออนาคต Bitcoin ระหว่าง “ตลาดหมี” และ “ตลาดกระทิง”
อนาคตของ Bitcoin เมื่อไม่มี Block Subsidy หรือรางวัลจากการขุดบล็อก ได้กลายเป็นประเด็นที่ได้รับการวิเคราะห์จากสองมุมมองหลัก ๆ อย่างกว้างขวาง
ฝั่งที่มองโลกในแง่ร้าย หรือที่มักถูกเรียกว่า “ตลาดหมี” เชื่อว่าค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมในอดีตยังไม่เคยแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นมากพอจะชดเชยรางวัลที่นักขุดเคยได้รับ ซึ่งกำลังลดลงเรื่อย ๆ จากกระบวนการ Halving หากแนวโน้มนี้ยังคงดำเนินต่อไป อาจส่งผลให้แรงจูงใจของนักขุดลดลง จนนำไปสู่การหยุดทำหน้าที่ในระบบ และท้ายที่สุดอาจกระทบต่อความมั่นคงและความปลอดภัยของเครือข่าย Bitcoin โดยรวม
ในทางตรงกันข้าม ฝ่ายที่มองโลกในแง่ดี หรือ “ตลาดกระทิง” มองว่า Bitcoin จะยังคงเติบโตต่อไปในระยะยาว มูลค่าของสินทรัพย์จะเพิ่มขึ้นจนแตะระดับ “หลายล้านล้านดอลลาร์” และความต้องการใช้พื้นที่บล็อกก็จะขยายตัวตาม โดยเฉพาะจากการใช้งานในภาคสถาบันหรือจากนวัตกรรมใหม่ ๆ อย่างเช่น Layer 2 และ Rollups ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมเพิ่มสูงขึ้น จนเพียงพอสำหรับเป็นแรงจูงใจให้กับนักขุด แม้ในวันที่ไม่มี Block Subsidy อีกต่อไป
นวัตกรรมเพื่อความอยู่รอด ความหวังจาก Layer 2 และ Bitcoin Runes
ท่ามกลางความท้าทายนี้ ชุมชน Bitcoin กำลังเร่งพัฒนาโซลูชั่นต่างๆ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของเครือข่ายโซลูชัน Layer 2 เช่น Lightning Network ได้เข้ามาช่วยเพิ่มความเร็วและลดต้นทุนการทำธุรกรรม ทำให้ Bitcoin สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมบนบล็อกเชนหลัก
นอกจากนี้ Bitcoin Runes มาตรฐานโทเค็นที่ได้รับความนิยมในช่วงปี 2024 ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพในการผลักดันค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมให้สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แม้ความสนใจในตลาดจะแผ่วลงไปบ้าง แต่นี่คือสัญญาณที่บ่งชี้ว่ากรณีการใช้งานใหม่ๆ สามารถสร้างรายได้ค่าธรรมเนียมมหาศาลให้กับนักขุดได้
สำหรับผู้ใช้งานทั่วไป การทำธุรกรรมโดยตรงบน Layer 1 ของ Bitcoin อาจมีค่าใช้จ่ายสูงและเหมาะสมกับการทำธุรกรรมมูลค่าสูงเท่านั้น แต่การทำธุรกรรมในชีวิตประจำวันส่วนใหญ่คาดว่า จะเปลี่ยนไปใช้โซลูชัน Layer 2 ที่รวดเร็วและมีต้นทุนต่ำกว่าแทน
สรุปบททดสอบครั้งสำคัญของ Bitcoin
วันที่ Bitcoin เหรียญสุดท้ายถูกขุดอาจไม่ใช่จุดสิ้นสุดของสกุลเงินดิจิทัลตัวนี้ แต่มันคือ จุดเริ่มต้นของบททดสอบครั้งสำคัญสำหรับโปรโตคอล Bitcoin ที่ถูกออกแบบมาให้เผชิญหน้ากับสถานการณ์นี้มาตั้งแต่ต้น
ความมั่นคงในระยะยาวของ Bitcoin จะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยที่ทำงานร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรมด้านเทคโนโลยี เช่น โซลูชัน Layer 2, การเติบโตของตลาดค่าธรรมเนียมที่แข็งแรง หรือแม้แต่ฉันทามติของชุมชนเกี่ยวกับบทบาทของ Bitcoin ในฐานะระบบชำระเงินระดับโลก แม้การพูดถึงอนาคตอีกกว่า 100 ปีข้างหน้าอาจฟังดูเป็นเรื่องที่ไกลตัว แต่การเข้าใจประเด็นเหล่านี้ถือว่าสำคัญสำหรับทุกคนที่อยู่ในโลกคริปโต
ที่มา:coingecko

