“Crypto Week” สัปดาห์ที่ถูกจับตามองว่าจะเป็นการตัดสินอนาคตของอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลในสหรัฐอเมริกา ได้เริ่มต้นขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งที่รุนแรงและความแตกแยกที่ชัดเจนระหว่างพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน จนทำให้กระบวนการพิจารณาร่างกฎหมายสำคัญ 3 ฉบับต้องหยุดชะงักลงจากการเปิดศึกโต้เถียงกันในประเด็นเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนของประธานาธิบดี

การอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันพฤหัสบดี ซึ่งเป็นวันที่สี่ของสัปดาห์ ได้เริ่มต้นขึ้นด้วยการถกเถียงในหลายประเด็น ตั้งแต่การคุ้มครองผู้บริโภค, การต่อต้านการฟอกเงิน, การพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDC) ไปจนถึงการป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อนในฝ่ายบริหาร โดย French Hill สมาชิกสภาจากพรรครีพับลิกัน ได้กล่าวสนับสนุนร่างกฎหมาย Stablecoin ที่ชื่อว่า GENIUS Act ว่า “นี่คือวาระสำคัญที่จะทำให้มั่นใจได้ถึงความสามารถในการแข่งขันของอเมริกา” และยังยืนยันว่ากฎหมายฉบับแก้ไขนี้มีบทบัญญัติที่เข้มแข็งในการคุ้มครองผู้บริโภคและต่อต้านการฟอกเงิน
อย่างไรก็ตาม Maxine Waters สมาชิกสภาจากพรรคเดโมแครต ซึ่งเป็นผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และการมีส่วนร่วมในธุรกิจคริปโตของครอบครัวเขามาโดยตลอด ได้โต้แย้งอย่างเผ็ดร้อนว่าร่างกฎหมายเหล่านี้ไม่ได้จัดการกับปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างที่ควรจะเป็น เธอกล่าวว่า
“ร่างกฎหมายนี้มีแถลงการณ์เชิงนโยบายว่าเจ้าหน้าที่ที่มาจากการเลือกตั้งอย่างสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสมาชิก รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่สามารถออก Stablecoin ของตัวเองได้ แต่คุณรู้ไหมว่าใครที่พรรครีพับลิกันไม่ได้ห้าม? ประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีคือเจ้าหน้าที่ที่มาจากการเลือกตั้งเพียงสองตำแหน่งที่สามารถมีธุรกิจคริปโตได้”
ประเด็นการ “ยกเว้น” ไม่ให้ฝ่ายบริหารอยู่ภายใต้กฎเดียวกันนี้ได้กลายเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้พรรคเดโมแครตซึ่งในตอนแรกเคยสนับสนุนการออกกฎหมายคริปโตที่ครอบคลุม ต้องเปลี่ยนท่าทีมาคัดค้าน การสูญเสียการสนับสนุนจากเดโมแครตนี้อาจเป็นภัยคุกคามต่อการผ่านร่างกฎหมายทั้งหมด หรืออาจบีบให้ต้องมีการประนีประนอมในเงื่อนไขที่ไม่เป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมคริปโต นอกจากประเด็นหลักเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนแล้ว Maxine Waters ยังได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเงิน โดยชี้ว่า “ในขณะที่ทุนสำรองของ Stablecoin บางส่วนเป็นเงินสดและพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น แต่ร่างกฎหมายนี้กลับอนุญาตให้ใช้เงินฝากที่ไม่มีประกันได้” ซึ่งเธอแย้งว่าการนำสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นมาค้ำประกัน Stablecoin อาจทำลายเสถียรภาพของระบบการเงินและนำไปสู่การแห่ถอนเงิน (bank run) ที่สุดท้ายแล้วภาระอาจตกอยู่กับผู้เสียภาษีชาวอเมริกันได้
ที่มา: cointelegraph

