ปัจจุบันสถานการณ์ความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาได้ปะทุขึ้นอย่างรุนแรงที่สุดในรอบหลายปี ครอบคลุมพื้นที่กว่า 200 กิโลเมตรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย โดยเฉพาะบริเวณจังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ตั้งแต่ปราสาทตาเมือนธมไปจนถึงปราสาทตาควาย ความตึงเครียดได้ทวีความรุนแรงขึ้นหลังจากเหตุการณ์การโจมตีทางอากาศและการใช้จรวด ซึ่งทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตและบาดเจ็บกันเป็นจำนวนมาก
ในช่วงเวลาที่สถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนนี้ สยามบล็อกเชนจะพาไปย้อนดูบทเรียนในอดีตว่าวิกฤตที่ผ่านมา ค่าเงินบาท, ทองคำ, ตลาดหุ้นไทย, และคริปโต ได้รับผลกระทบยังไงบ้าง และวิกฤตที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเราควรจะเตรียมตัวรับมืออย่างไร ?
บทเรียนจากวิกฤตต้มยำกุ้ง ในปี 1997 (พ.ศ 2540)

ที่มาภาพ : kasikornresearch
จากวิกฤตต้มยำกุ้ง เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ประเทศไทยต้องประกาศ “ยอมแพ้” ต่อแรงกดดันของตลาดโลก โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ตัดสินใจลอยตัวค่าเงินบาท หลังจากยึดติดกับระบบ “ตะกร้าเงิน” มาตั้งแต่ปี 2527
การตัดสินใจครั้งนี้ทำให้ ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว มูลค่าหายไปเกินครึ่ง โดยแตะจุดต่ำสุดที่ 56 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2541 จากที่เคยผูกติดไว้ที่ 25 บาทต่อดอลลาร์
การที่เงินบาทล่มสลาย ทำให้นักลงทุนต่างชาติพากันถอนเงินออกจากประเทศอย่างรวดเร็ว เหมือนกับคนที่กระโดดออกจากเรือที่กำลังจะจม สิ่งที่น่าสังเกตคือ รัฐบาลพยายามใช้เงินสำรองต่างประเทศกว่า 40,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อปกป้องค่าเงินบาท แต่ความพยายามนี้กลับกลายเป็นการต่อสู้กับกระแสน้ำเชี่ยวในทะเล ยิ่งพยายามมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งสูญเสียมากขึ้นเท่านั้น
ในด้านของ ตลาดหุ้นไทย ก็ได้รับผลกระทบอย่างหนักเช่นกัน โดยร่วงลงถึง 75% จากจุดสูงสุด ดัชนี SET ที่เคยแตะระดับ 1,753 จุดในปี 2536 กลับร่วงลงมาแตะระดับต่ำสุดเพียง 207 จุดในปี 2541 หุ้นหลายตัวที่นักลงทุนเคยเชื่อมั่นว่า “ไม่มีวันล้ม” กลับหายไปจากตลาดอย่างไร้ร่องรอย
นักลงทุนรายใหญ่ที่เคยมีอิทธิพลในตลาดหลายราย ต้องยอมพ่ายแพ้ต่อสถานการณ์วิกฤต บางคนถึงขั้นสูญเสียทรัพย์สินทั้งหมดในชั่วข้ามคืน และนักลงทุนรายย่อยจำนวนมากต้องจำใจขายทั้งบ้านและที่ดินเพื่อชำระหนี้ที่เกิดจากการลงทุนหุ้นด้วยเงินกู้
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางวิกฤตที่ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนจะล่มสลาย ทองคำกลับเป็นเหมือนเกาะกลางทะเลเดือดที่มั่นคง ราคาทองคำในประเทศไทยพุ่งขึ้น จากประมาณ 4,500 บาทต่อบาทหนัก ไปแตะระดับสูงสุดที่เกือบ 8,000 บาทต่อบาทหนัก ในช่วงปี 2541
นักลงทุนที่มีไหวพริบและได้เก็บทองคำไว้ก่อนวิกฤต ไม่เพียงแต่รอดพ้นจากการสูญเสีย แต่ยังสามารถทำกำไรได้อย่างงดงาม เพราะในขณะที่ค่าเงินบาทอ่อนตัวลง ราคาทองคำกลับแข็งแกร่งขึ้น ทำให้ผู้ถือทองคำได้รับผลตอบแทนเป็นเท่าตัว
บทเรียนจาก COVID-19 ในปี 2020

ที่มาภาพ : fpri
เมื่อต้นปี 2020 ไวรัส COVID-19 ได้เปลี่ยนแปลงโลกไปตลอดกาล ส่งผลให้ตลาดการเงินทั่วโลกตกอยู่ในภาวะตื่นตระหนก และการล็อกดาวน์ทำให้เศรษฐกิจหยุดชะงัก ทว่านี่กลับเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโลกของการลงทุน
ในส่วนของ Bitcoin ที่เคยถูกมองข้ามก็ได้กลายเป็นสินทรัพย์ที่โดดเด่นในโลกแห่งการลงทุน โดยในวันที่ 1 มีนาคม 2020 ราคา Bitcoin อยู่ที่เพียง 8,562 ดอลลาร์ต่อเหรียญ แต่ภายในหนึ่งปี ราคา Bitcoin ได้พุ่งทะยานสู่ 51,207 ดอลลาร์ในวันที่ 7 มีนาคม 2021 ซึ่งเป็นการเติบโตถึง 498% ทำให้มุมมองต่อสกุลเงินดิจิทัลนี้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
และในวันนี้ ราคา Bitcoin ก็มีมูลค่าเพิ่มขึ้นมากกว่า 115,000 ดอลลาร์ และพุ่งขึ้นไปแตะจุดสูงสุดอยู่ที่ 123,091.61 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นการเติบโตที่อย่างก้าวกระโดดหากนับจากจุดเริ่มต้น
โดยในขณะที่รายงาน ราคา Bitcoin กำลังซื้อขายอยู่ที่ 115,325 ดอลลาร์ ลดลง 2.12% ภายใน 24 ชั่วโมง อ้างอิงข้อมูลจาก coinmarketcap

การพุ่งขึ้นของ Bitcoin ในช่วงโควิด-19 ไม่ได้มาจากการเก็งกำไรเท่านั้น แต่เป็นผลจากการที่ธนาคารกลางทั่วโลกพิมพ์เงินมหาศาล เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้นักลงทุนกังวลเรื่อง เงินเฟ้อ และหันมาหาสินทรัพย์ที่ช่วยป้องกันการสูญเสียมูลค่า
ขณะเดียวกัน ทองคำ ก็ยังคงเป็นที่พึ่งในยามคับขัน โดยราคาทองคำโลกพุ่งจากประมาณ 1,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ไปแตะเกือบ 2,100 ดอลลาร์ในปี 2020 คิดเป็นการเติบโตราว 40% ซึ่งยืนยันสถานะ “สินทรัพย์ปลอดภัย” ของทองคำได้เป็นอย่างดี
สำหรับตลาดหุ้นทั่วโลกนั้นร่วงลงอย่างหนัก ในเดือนมีนาคม 2020 โดยเฉพาะดัชนีดาวโจนส์ที่สูญเสียมูลค่าไปเกือบ 37% อย่างไรก็ตาม การเข้าแทรกแซงอย่างรวดเร็วของธนาคารกลางและรัฐบาลทั่วโลกได้ช่วยให้ตลาดฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว
ทว่าการฟื้นตัวครั้งนี้กลับไม่เท่าเทียมกัน หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและบริษัทขนาดใหญ่ฟื้นตัวได้ดีกว่า ในขณะที่หุ้นขนาดเล็กและธุรกิจดั้งเดิมหลายแห่งยังคงต้องดิ้นรนอย่างหนัก
สงครามยูเครน – รัสเซีย ในปี 2022
ที่มาภาพ : csis
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2022 การที่รัสเซียบุกโจมตียูเครน ได้ส่งผลให้ตลาดการเงินทั่วโลกผันผวนอีกครั้ง แต่ปฏิกิริยาของตลาดในครั้งนี้ แตกต่างจากวิกฤตที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด
ในช่วงเริ่มต้นของสงคราม ราคา Bitcoin ปรับฐานครั้งใหญ่และร่วงไปแตะที่ 34,000 ดอลลาร์เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2022 ก่อนที่จะเริ่มฟื้นตัวขึ้นในเวลาต่อมา
สิ่งที่น่าสนใจคือ ราคา Bitcoin ในครั้งนี้ไม่ได้ทำหน้าที่เป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย” อย่างที่หลายคนคาดหวังไว้ แต่กลับแสดงความผันผวนสูงคล้ายกับหุ้นเสี่ยงมากกว่า
อย่างไรก็ตาม การที่ยูเครนใช้ Bitcoin ในการระดมทุน เพื่อสนับสนุนการทำสงคราม แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของสกุลเงินดิจิทัลในการหลีกเลี่ยงข้อจำกัดของระบบการเงินแบบดั้งเดิม
ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา 2025

ที่มาภาพ : asiamediacentre
ล่าสุดเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ได้เกิดเหตุปะทะรุนแรงจากเสียงปืนระหว่างทหารไทยและกัมพูชาขึ้นที่ช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นผลจากปัญหาพื้นที่พิพาทที่ยืดเยื้อมานาน ความขัดแย้งระดับภูมิภาคครั้งนี้ได้สร้างบทเรียนใหม่ให้กับนักลงทุนในยุคปัจจุบัน โดยชี้ให้เห็นว่า สถานการณ์เหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินได้
ในระยะสั้น ความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาอาจไม่กระทบต่อค่าเงินบาทมากนัก เนื่องจากกัมพูชาไม่ใช่คู่ค้าหลักของไทย แต่สิ่งที่น่ากังวลคือ ผลกระทบทางจิตวิทยาที่อาจเกิดขึ้น หากความขัดแย้งลุกลามและกระทบความเชื่อมั่นในเสถียรภาพของภูมิภาค นักลงทุนต่างชาติอาจเริ่มถอนทุนออกจากประเทศ ซึ่งเป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง โดยที่ไทยอาจต้องเพิ่มงบประมาณด้านความมั่นคง ซึ่งจะเพิ่มแรงกดดันต่อการคลังและเสถียรภาพเศรษฐกิจในภาพรวม
สำหรับตลาดหุ้นไทย การขัดแย้งนี้จะมีผลกระทบแบบคลื่นลูก โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มการท่องเที่ยวและขนส่งในพื้นที่ชายแดนตะวันออกเฉียงเหนือที่อาจได้รับผลกระทบในทางลบ ส่วนหุ้นกลุ่มความมั่นคงและอุตสาหกรรมป้องกันประเทศอาจได้รับผลบวก นักลงทุนสถาบันต่างชาติอาจลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นไทยหากมองว่าความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์เพิ่มขึ้น ทำให้ตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนมากขึ้น
ในด้านทองคำ, ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่แข็งแกร่งในช่วงวิกฤต การขัดแย้งกับกัมพูชาอาจทำให้ความสนใจในทองคำเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะทองคำแท่งที่สามารถเก็บไว้ได้จริง หากสถานการณ์บานปลายขึ้น ราคาทองคำอาจพุ่งสูงขึ้นจากอุปสงค์ในประเทศที่เพิ่มขึ้นและความอ่อนค่าของเงินบาท
สำหรับ Bitcoin, ความขัดแย้งนี้จะเป็นการทดสอบครั้งใหม่ว่า Bitcoin จะตอบสนองอย่างไรในความขัดแย้งระดับภูมิภาค โดยเฉพาะชาวไทยที่เริ่มความสนใจกับสินทรัพย์คริปโตมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ Bitcoin มีโอกาสที่ราคาจะพุ่งทะลุ 120,000 ดอลลาร์ต่อเหรียญอีกครั้งจากแรงซื้อของนักลงทุนที่กลับมาสนใจ
จากบทเรียนที่ผ่านมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตต้มยำกุ้ง, โควิด-19, สงครามยูเครน-รัสเซีย หรือความขัดแย้งไทย-กัมพูชาในปัจจุบัน ทั้งหมดล้วนสะท้อนให้เราเห็นถึงความสำคัญของการเตรียมตัวและการปรับตัวในโลกที่ไม่แน่นอน
คำถามที่เราควรถามตัวเองคือ คุณพร้อมแล้วหรือยังที่จะเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต? หรือจะปล่อยให้วิกฤตครั้งถัดไปกลายเป็นบทเรียนที่ต้องจ่ายด้วยราคาแพง?

