<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

สยามเมืองยิ้ม(ไม่ออก)! อดีตตำรวจออสซี่สูญเงินเก็บทั้งชีวิต 40 ล้านบาทให้แก๊งคริปโตที่ไทย

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

“ผมไม่ได้อ่อนต่อโลก” นี่คือคำพูดที่น่าสะเทือนใจจาก Michael John Reinecke อดีตนายตำรวจมากประสบการณ์ชาวออสเตรเลีย วัย 63 ปี ผู้คร่ำหวอดในวงการสืบสวนสอบสวนและปราบปรามอาชญากรรมมากว่า 30 ปีในบ้านเกิด แต่ทักษะและสัญชาตญาณนักสืบที่สั่งสมมาทั้งชีวิต ก็ไม่เพียงพอจะช่วยให้เขารอดพ้นจากกลลวงสุดซับซ้อนของแก๊งต้มตุ๋นคริปโตที่เขาเผชิญอยู่ใจกลางประเทศไทย

เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นอย่างเรียบง่ายบนโซเชียลมีเดีย หลัง Reinecke ย้ายมาใช้ชีวิตหลังเกษียณในไทย เขาได้รับการติดต่อจากชายที่ใช้ชื่อ “Alex” อ้างว่าเป็นผู้ประกอบการคริปโตสัญชาติเยอรมัน อาศัยอยู่หรูหราในจังหวัดภูเก็ต Alex ไม่ได้รีบร้อนชวนลงทุน แต่ใช้เวลานานนับปีสร้างความสนิทสนม พูดคุยพบปะ และ “ขุน” ความไว้วางใจอย่างแนบเนียน จน Reinecke เชื่อใจเต็มที่

เขาถูกพบเห็นขณะถือกระเป๋าแบรนด์เนมอยู่หน้าแลนด์มาร์กสำคัญ | ภาพ: Asia Pacific Press
ต้องหาคดีฉ้อโกงยังคงโพสต์เกี่ยวกับชีวิตที่หรูหราของเขาอย่างต่อเนื่องหลังจากที่มีการออกหมายจับ | ภาพ: Asia Pacific Press

เมื่อถึงจังหวะที่เหมาะสม Alex จึงแนะนำโอกาสลงทุนในแพลตฟอร์มคริปโตที่ดูน่าเชื่อถือ พร้อมโชว์ Dashboard และกราฟสวยงามให้คำมั่นผลตอบแทนสูงถึง 5-10% ต่อเดือน Reinecke จึงตัดสินใจโอน “เงินเก็บทั้งชีวิต” มูลค่ากว่า 1.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 40 ล้านบาท เข้าไป

ไม่นานหลังจากนั้น แพลตฟอร์มดังกล่าวก็ “ล่ม” Alex อ้างว่าโทรศัพท์หายและเงินทั้งหมดถูกขโมยไป ก่อนตัดขาดการติดต่ออย่างสิ้นเชิง แต่ที่เจ็บใจยิ่งกว่านั้นคือ ขณะเหยื่อกำลังเดือดร้อน Alex กลับโพสต์ชีวิตหรูหราอย่างต่อเนื่อง ทั้งอยู่สระว่ายน้ำ ขับรถหรู ล่องเรือยอร์ช และบินด้วยเครื่องบินส่วนตัว

ทั้งคู่ได้นั่งเผชิญหน้ากันเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับการฉ้อโกงที่ถูกกล่าวหา | ภาพ: Asia Pacific Press
มิจฉาชีพที่ถูกกล่าวหายั่วยุเจ้าหน้าที่ตำรวจออสซี่ | ภาพ: Asia Pacific Press

วันที่ 18 กรกฎาคม 2568 Reinecke พร้อมภรรยาชาวไทย นางอารีรัตน์ นูนยศ วัย 50 ปี และทนายความ นายกฤษฎา โลหิตดี หรือ “ทนายโนบิ” เดินทางเข้าแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรเมืองอุดรธานี “ผมตั้งใจมาใช้ชีวิตเกษียณอย่างมีความสุขกับภรรยา ไม่คิดเลยว่าจะถูกหลอกเงินไปเกือบ 40 ล้านแบบนี้” เขากล่าวอย่างเจ็บปวด

เขากล่าวว่าเขารู้สึก “เสียใจอย่างสุดซึ้ง” กับเหตุการณ์หลอกลวงที่เกิดขึ้น | ภาพ: Asia Pacific Press

ตำรวจเริ่มสืบสวนจนสามารถออกหมายจับและจับกุมผู้ต้องสงสัยได้ในวันที่ 1 สิงหาคม มีการจัดฉากเผชิญหน้าสุดเดือดในห้องประชุม Reinecke พูดด้วยความโกรธว่า “คุณน่าจะคิดถึงเรื่องนี้ก่อนที่คุณจะมาโกหกผม” ขณะที่ผู้ต้องหาตอบกลับอย่างท้าทาย “ผมอาจจะต้องตายในคุกไทย นั่นคือสิ่งที่คุณต้องการใช่ไหม?”

พ.ต.อ.พัฒนวงศ์ จันทร์พล ผู้กำกับการ สภ.เมืองอุดรธานี เปิดเผยว่า ผู้ต้องหาปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา อ้างถูกแฮกและไม่สามารถคืนเงินได้ แต่ตำรวจไม่เชื่อ เพราะระหว่างรอหมายจับ เขายังไลฟ์สดชวนคนลงทุนอยู่ เชื่อว่ายังมีเหยื่อทั้งไทยและต่างชาติอีกจำนวนมาก

ทำไมผู้เกษียณและชาวต่างชาติจึงตกเป็นเป้าหมาย?

กรณีนี้สะท้อนรูปแบบการเลือกเหยื่อของแก๊งต้มตุ๋นที่มักมุ่งไปที่ผู้เกษียณและชาวต่างชาติในต่างแดน เพราะมักมีเงินออม กำลังมองหาช่องทางลงทุน และอาจมีความเปราะบางทางสังคมหรือความเหงา ทำให้มิจฉาชีพสามารถสร้างความไว้วางใจและปั่นหัวได้ง่าย กลโกงเหล่านี้ไม่เพียงใช้ “ความโลภ” เป็นเหยื่อล่อ แต่ยังใช้ “จิตวิทยา” อย่างแยบยล ตั้งแต่การสร้างความสัมพันธ์ปลอม การสัญญาผลตอบแทนเกินจริง ไปจนถึงการทำเว็บไซต์ปลอมที่เหมือนจริงทุกประการ

ชาวเยอรมันปฏิเสธข้อกล่าวหาว่าหลอกลวงตำรวจชาวออสซี่ | ภาพ: Asia Pacific Press
ผู้ต้องสงหาคดีฉ้อโกงสร้างภาพเป็นเศรษฐีคริปโตออนไลน์ | ภาพ: Asia Pacific Press

นี่จึงเป็นบทเรียนราคาแพงว่า แม้แต่ผู้ที่ใช้ชีวิตจับคนร้ายมาทั้งชีวิต ก็ยังอาจพลาดพลั้งได้ หากปล่อยให้ความเชื่อใจบดบังวิจารณญาณ และตอกย้ำว่าการตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบคอบ ไม่เชื่อในผลตอบแทนสูงผิดปกติ และปกป้องทรัพย์สินของตน คือเกราะที่ดีที่สุดในโลกดิจิทัลที่ความไว้ใจถูกสร้างและพังได้ในพริบตา

ที่มา: nationthailand