ราคาบิตคอยน์ (BTC) ปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็วในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา โดยร่วงหลุดระดับจิตวิทยาสำคัญที่ 120,000 ดอลลาร์ แตะจุดต่ำสุดที่ 117,470 ดอลลาร์
การร่วงลงครั้งนี้เกิดขึ้นทันทีหลังจากที่ สก็อต เบสเซนต์ (Scott Bessent) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐ ให้สัมภาษณ์กับ Fox Business ยืนยันว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะไม่ทำการซื้อบิตคอยน์หรือคริปโตเคอร์เรนซีอื่น ๆ เพิ่มเพื่อใช้เป็นทุนสำรองของประเทศ
เบสเซนต์กล่าวชัดเจนว่า รัฐบาลจะไม่ใช้งบประมาณเข้าซื้อสินทรัพย์ดิจิทัลใหม่ แต่จะมุ่งเน้นการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้จากการยึดในคดีต่าง ๆ เพื่อนำมาบริหารและต่อยอดเป็นทุนสำรอง “เราจะไม่ซื้อเพิ่ม แต่เราจะใช้สินทรัพย์ที่ถูกยึดเพื่อสร้างทุนสำรอง” เขากล่าว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณชัดถึงจุดยืนของรัฐบาลต่อการถือครองคริปโต
จุดยืนนี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับนโยบายก่อนหน้านี้ของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่เคยลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารให้รัฐบาลพัฒนากลยุทธ์ “เพิ่มการถือครองบิตคอยน์แบบไม่กระทบงบประมาณ” โดยมีการพิจารณาแหล่งเงินทุนจากรายได้ภาษีศุลกากร รวมถึงการประเมินมูลค่าใบรับรองทองคำใหม่ เพื่อใช้ในการเข้าซื้อบิตคอยน์เข้าสู่ทุนสำรอง
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่บิตคอยน์สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการแซงมูลค่าตลาดของ Google ขึ้นเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่ามากที่สุดอันดับ 5 ของโลกที่กว่า 2.4 ล้านล้านดอลลาร์ แต่กระแสความมั่นใจก็หายไปอย่างรวดเร็วหลังคำให้สัมภาษณ์ของรมว.คลัง ทำให้แรงซื้อชะลอตัวและราคาปรับฐานลงทันที
นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่าท่าทีของกระทรวงการคลังอาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในระยะสั้น โดยเฉพาะผู้ที่คาดหวังให้รัฐบาลสหรัฐเพิ่มการถือครองบิตคอยน์เพื่อหนุนราคาและสร้างความมั่นคงให้ตลาดคริปโต อย่างไรก็ตาม ปัจจัยพื้นฐานของบิตคอยน์ยังคงได้รับแรงหนุนจากการใช้งานและการยอมรับในภาคเอกชน รวมถึงการลงทุนจากสถาบันการเงินรายใหญ่ ซึ่งอาจช่วยพยุงตลาดได้ในระยะยาว
ในภาพรวม คำประกาศของเบสเซนต์ตอกย้ำว่า US government will never buy Bitcoin or any crypto ในขณะนี้ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่นักลงทุนต้องจับตาอย่างใกล้ชิดต่อทิศทางนโยบายสินทรัพย์ดิจิทัลของสหรัฐในอนาคต
ที่มา: X

