<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

Arbitrum (ARB) คืออะไร? ทำความรู้จักบล็อกเชน Layer-2 ที่ช่วยให้ Ethereum เร็วขึ้น และค่าธรรมเนียมถูกลง

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ถ้าใครเคยใช้ Ethereum บ่อย ๆ ก็คงเคยเจอปัญหาคลาสสิกอยู่สองเรื่องใหญ่ ๆ คือ ค่าธรรมเนียมที่โคตรแพง กับความเร็วที่ไม่ทันใจ เวลาเครือข่ายคนใช้เยอะ ๆ นี่แทบจะรอจนลืมไปเลยว่ากดทำธุรกรรมไว้แล้ว ซึ่งปัญหาเหล่านี้แหละที่ทำให้ทีมพัฒนาเริ่มคิดหาวิธีแก้ไข และหนึ่งในโซลูชันที่มาแรงสุด ๆ ก็คือ Arbitrum (ARB) เทคโนโลยี Layer-2 ที่ถูกออกแบบมาเพื่อทำให้ Ethereum ใช้งานได้เร็วขึ้น ค่าธรรมเนียมถูกลง และรองรับธุรกรรมได้มากกว่าเดิม

Arbitrum ใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า Optimistic Rollups ซึ่งพูดง่าย ๆ คือ การยกธุรกรรมจำนวนมากไปรวมประมวลผลนอกเครือข่าย Ethereum ก่อน แล้วค่อยส่งผลสรุปกลับเข้ามาเก็บบนบล็อกเชนหลัก วิธีนี้ช่วยลดภาระของ Ethereum ลงได้เยอะมาก ทำให้ผู้ใช้งานจ่ายค่าธรรมเนียมถูกลงหลายเท่า แต่ยังได้ความปลอดภัยที่พ่วงมากับ Ethereum เช่นเดิม ที่สำคัญนักพัฒนาก็ยังสร้าง DApps บน Arbitrum ได้เหมือนกับการพัฒนาบน Ethereum โดยไม่ต้องเปลี่ยนโค้ดหรือเรียนรู้อะไรใหม่ให้ยุ่งยาก

ในบทความนี้ สยามบล็อกเชน จะพาคุณไปรู้จักกับ Arbitrum กันแบบชัด ๆ ว่ามันคืออะไร ทำงานยังไง และทำไมหลายคนถึงมองว่ามันคืออนาคตที่จะช่วยให้ Ethereum ก้าวไปอีกระดับ 

Arbitrum คืออะไร ?

Arbitrum คือชุดเทคโนโลยีที่ออกแบบมาเพื่อขยายขีดความสามารถของเครือข่าย Ethereum โดยใช้สถาปัตยกรรม Arbitrum Nitro ในการประมวลผลธุรกรรมนอกเครือข่าย (off-chain) จากนั้นจึงรวมกลุ่มธุรกรรมเหล่านั้น และส่งข้อมูลสรุปกลับไปยืนยันบน Ethereum อีกครั้ง

หลักการทำงานคือ ธุรกรรมทั้งหมดจะถูกยอมรับว่าถูกต้องจนกว่าจะมีการทักท้วง และหากเกิดข้อพิพาทขึ้น เครือข่าย Ethereum จะเข้ามาตรวจสอบธุรกรรมที่ถูกโต้แย้งนั้นอีกครั้ง ทำให้มั่นใจในความปลอดภัย

เครือข่ายของ Arbitrum ยังแบ่งออกเป็นหลายรูปแบบ ได้แก่

  • Arbitrum One: เป็นเครือข่ายสาธารณะที่เน้นความน่าเชื่อถือสูงสุด โดยจะโพสต์ข้อมูลธุรกรรมทั้งหมดบน Ethereum
  • Arbitrum Nova: เป็นเครือข่ายสาธารณะอีกแบบที่ลดต้นทุนค่าธรรมเนียมลงอย่างมาก โดยอาศัยการจัดเก็บข้อมูลธุรกรรมนอกเครือข่าย ผ่าน Data Availability Committee (DAC)
  • Arbitrum Orbit Chains: เป็นเครือข่ายที่ให้นักพัฒนาสามารถสร้าง Layer 2 หรือ Layer 3 ของตัวเองได้ตามต้องการ และยังสามารถปรับแต่งคุณสมบัติต่างๆ ได้อย่างอิสระ ทั้งการกำกับดูแล ค่าธรรมเนียม ความเร็ว และความเป็นส่วนตัว

กลไกการทำงานของ Arbitrum

ธุรกรรมที่ถูกส่งเข้ามาในเครือข่ายจะถูกจัดลำดับโดย Sequencer ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานได้รับการยืนยันธุรกรรมในทันที จากนั้น Sequencer จะรวมและบีบอัดข้อมูลธุรกรรมทั้งหมดเข้าด้วยกัน ก่อนที่จะส่งไปยืนยันบนเครือข่าย Ethereum อีกครั้ง ซึ่งช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความเร็วในการทำธุรกรรมได้อย่างมาก

อย่างไรก็ตาม หากมีผู้ใช้งานสงสัยในความถูกต้องของธุรกรรม ก็สามารถเปิดการโต้แย้งได้ภายในช่วงเวลาที่กำหนด โดยเครือข่าย Ethereum จะเข้ามาตรวจสอบธุรกรรมที่มีปัญหาใหม่อีกครั้ง ผ่านโปรโตคอล Bounded Liquidity Delay (BoLD) ซึ่งหากพบว่ามีการทุจริต ผู้ที่อนุมัติธุรกรรมที่ผิดพลาดจะถูกลงโทษด้วยการถูกปรับเงิน

เทคโนโลยี Arbitrum

Arbitrum ทำงานบน Arbitrum Nitro ซึ่งเป็นระบบที่พัฒนามาจากซอฟต์แวร์ของ Ethereum (Geth) โดยมีการปรับปรุงให้ดีขึ้น และยังใช้ WebAssembly (WASM) เพื่อช่วยในการตรวจสอบกรณีที่มีข้อพิพาทเกิดขึ้น

นอกจากนี้ การอัปเกรดใหม่ที่ชื่อว่า Stylus (ปัจจุบันอยู่ในช่วงทดสอบ) จะเพิ่ม Virtual Machine (VM) เข้ามาอีกตัว ให้ทำงานควบคู่ไปกับ EVM (Ethereum Virtual Machine) ทำให้สามารถรองรับภาษาโปรแกรมที่มีประสิทธิภาพสูงอย่าง Rust, C และ C++ ได้ ซึ่งจะช่วยให้สัญญา Smart contract ที่เขียนด้วยภาษา Solidity และ WASM สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น

ระบบนิเวศของ Arbitrum

ทุกเครือข่ายของ Arbitrum ใช้เทคโนโลยีพื้นฐานแบบเดียวกันและอาศัย Optimistic Rollups ในการประมวลผลธุรกรรม สิ่งที่ทำให้แต่ละเชนแตกต่างกันคือ วิธีการจัดเก็บข้อมูลธุรกรรม และการออกแบบแต่ละเครือข่าย เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการกระจายอำนาจ , ต้นทุน และประสิทธิภาพ 

Arbitrum One

Arbitrum One เป็นเชนแบบ Public Optimistic Rollup ที่ประมวลผลธุรกรรมนอกเครือข่าย แต่จะส่งข้อมูลธุรกรรมทั้งหมดไปเก็บไว้บน Ethereum ทำให้ทุกคนสามารถตรวจสอบสถานะของเชนได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องเชื่อถือบุคคลที่สาม วิธีการนี้ให้ความสำคัญกับการกระจายอำนาจและความโปร่งใส จึงเหมาะสำหรับแอปพลิเคชันที่มีมูลค่าสูงและต้องการความน่าเชื่อถือสูง เช่น แพลตฟอร์มการเงินแบบกระจายอำนาจ ( DeFi) และตลาดซื้อขาย NFT

Arbitrum Nova

Arbitrum Nova ทำงานบน AnyTrust Protocol ซึ่งใช้เทคโนโลยี Optimistic Rollup เช่นกัน แต่มีการจัดการข้อมูลแตกต่างออกไป แทนที่จะส่งข้อมูลธุรกรรมทั้งหมดไปที่ Ethereum แต่ Nova จะจัดเก็บข้อมูลนอกเครือข่ายกับ Data Availability Committee (DAC) ซึ่งเป็นกลุ่มขององค์กรที่ได้รับอนุญาต และมีหน้าที่ในการส่งมอบข้อมูลเมื่อจำเป็น

การตั้งค่านี้ช่วยลดต้นทุนธุรกรรมได้อย่างมาก แต่ต้องยอมรับความเสี่ยงในระดับหนึ่ง นั่นคือต้องเชื่อว่าสมาชิก DAC อย่างน้อยจำนวนหนึ่งมีความซื่อสัตย์ หาก DAC ไม่สามารถให้ข้อมูลได้หรือเกิดข้อพิพาทขึ้น Nova จะเปลี่ยนกลับไปใช้โหมด Rollup และส่งข้อมูลไปยัง Ethereum เพื่อแก้ไขปัญหา การแลกเปลี่ยนนี้ทำให้ Nova เหมาะสำหรับแอปพลิเคชันที่มีปริมาณธุรกรรมสูงแต่ต้นทุนต่ำ เช่น แพลตฟอร์มเกมและโซเชียลมีเดียที่ต้องประมวลผลธุรกรรมจำนวนมากแต่มีขนาดเล็ก

Orbit Chains

Orbit Chains เปิดโอกาสให้นักพัฒนาสามารถสร้าง Rollup หรือ AnyTrust Chains ของตนเองได้ ซึ่งสามารถเป็นได้ทั้งเครือข่าย Layer 2 ที่ส่งข้อมูลไปยัง Ethereum โดยตรง หรือเป็นเครือข่าย Layer 3 ที่ส่งข้อมูลไปยัง Layer 2 อื่น ๆ เช่น Arbitrum One หรือ Nova

เชนเหล่านี้สามารถปรับแต่งได้อย่างเต็มที่ ในขณะที่ยังคงได้รับประโยชน์จากความปลอดภัยและความเข้ากันได้ของ Arbitrum Ecosystem นักพัฒนาสามารถกำหนดค่าต่าง ๆ ได้เอง เช่น รูปแบบการกำกับดูแล, โทเค็นที่ใช้เป็นค่าธรรมเนียม (Gas Token), การตั้งค่าความเป็นส่วนตัว, ความจุในการประมวลผล และตัวเลือกการจัดเก็บข้อมูล ความยืดหยุ่นนี้ทำให้ Orbit Chains เหมาะสำหรับการใช้งานเฉพาะทาง เช่น ระบบสำหรับองค์กรและเครือข่ายส่วนตัว

Arbitrum Bridge

Arbitrum Bridge ช่วยให้คุณสามารถย้ายสินทรัพย์ระหว่างเครือข่าย Ethereum และ Arbitrum ได้ โดยการฝาก ETH หรือโทเค็นจาก Ethereum ไปยังเชนของ Arbitrum โดยปกติจะใช้เวลาไม่นาน เพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น

แต่การถอนเงินจากเครือข่าย Rollup กลับมายัง Ethereum จะใช้เวลาประมาณ 7 วัน เนื่องจากต้องรอช่วงเวลาตรวจสอบการทุจริต (Fraud-Proof Dispute Period) หากคุณไม่ต้องการรอ สามารถใช้บริการ Fast-Bridge ซึ่งจะช่วยให้การโอนเสร็จสิ้นเกือบจะทันที แต่ต้องแลกกับค่าธรรมเนียมเพียงเล็กน้อย ส่วนเชนแบบ AnyTrust ก็มีกระบวนการที่คล้ายกัน แต่โดยทั่วไปจะสามารถถอนเงินได้เร็วกว่า เนื่องจากวิธีการจัดเก็บข้อมูลที่แตกต่างกัน

ข้อจำกัด

แม้ว่า Arbitrum จะช่วยเพิ่มความเร็วและลดต้นทุนในการทำธุรกรรม แต่ก็ยังมีข้อแลกเปลี่ยนบางอย่างที่ควรทราบคือ ความล่าช้าในการถอนเงิน การย้ายเงินจากเครือข่าย Rollup กลับไปยัง Ethereum มักใช้เวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์ เนื่องจากต้องรอช่วงเวลาตรวจสอบการทุจริต แม้ว่าบริการ Fast-Bridge จะช่วยลดเวลารอให้เหลือเพียงไม่กี่นาที แต่ก็ต้องแลกมากับค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมและต้องเชื่อถือบริการของบุคคลที่สามในการโอนเงินของคุณ

ข้อกังวลด้านการรวมศูนย์อำนาจ (Centralization Concerns)

ปัจจุบัน โครงสร้างพื้นฐานของ Arbitrum ยังไม่ได้กระจายอำนาจอย่างสมบูรณ์ในทุกส่วน

  • สำหรับเครือข่าย AnyTrust ยังคงต้องอาศัยกลุ่มองค์กรที่ได้รับอนุญาตจำนวนหนึ่ง ในการจัดเก็บข้อมูลธุรกรรมนอกเครือข่าย หากสมาชิกส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้ถูกโจมตีหรือมีพฤติกรรมที่เป็นอันตราย อาจมีการกักเก็บข้อมูลไว้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความสามารถของเครือข่ายในการแก้ไขข้อพิพาท
  • สำหรับเครือข่าย Arbitrum One ผู้เรียงลำดับธุรกรรม (Sequencer) ยังคงดำเนินการโดย Offchain Labs และผู้ตรวจสอบความถูกต้อง (Validators) ซึ่งมีหน้าที่ช่วยยืนยันสถานะของเครือข่าย ก็ยังเป็นแบบระบบบัญชีขาว (Allowlist) ไม่ได้เปิดให้ใครก็ได้เข้าร่วม

แม้ว่า Arbitrum Decentralized Autonomous Organization (DAO) จะมีแผนที่จะทยอยเปิดให้บทบาทเหล่านี้กระจายออกไปในอนาคต แต่ในปัจจุบันก็ยังคงต้องอาศัยความเชื่อมั่นในผู้ดำเนินการเฉพาะกลุ่มอยู่

โทเค็น ARB

โทเค็น ARB เป็นโทเค็นดั้งเดิมของโปรโตคอล Arbitrum ซึ่งถูกนำไปใช้ในหลายวัตถุประสงค์ ได้แก่

  • การโหวต การถือครองโทเค็น ARB จะช่วยให้คุณมีสิทธิ์เข้าร่วมใน Arbitrum DAO ซึ่งเป็นที่ที่ผู้ถือโทเค็นสามารถโหวตข้อเสนอต่าง ๆ เพื่อกำหนดทิศทางในอนาคตของเครือข่ายได้ เช่น การอนุมัติการอัปเกรดโปรโตคอล, การปรับเปลี่ยนพารามิเตอร์ทางเทคนิค, หรือการตัดสินใจใช้เงินทุนของคลัง DAO
  • การมอบอำนาจสิทธิ์โหวต  (Delegating) หากคุณไม่ต้องการโหวตด้วยตนเอง คุณสามารถมอบอำนาจโทเค็น ARB ให้กับสมาชิกชุมชนหรือองค์กรที่ไว้ใจ เพื่อให้พวกเขาลงคะแนนแทนคุณได้ ซึ่งช่วยให้คุณยังคงมีส่วนร่วมโดยไม่ต้องคอยติดตามทุกข้อเสนอ
  • การสนับสนุนโครงการ ผ่านกองทุน DAO ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากโทเค็น ARB สามารถจัดสรรเงินทุน (Grants) ให้กับนักพัฒนา, ทีมวิจัย, และโปรเจกต์ที่สร้างขึ้นบน Arbitrum เพื่อสนับสนุนการเติบโตของระบบนิเวศ โดยการให้ทุนแก่เครื่องมือ, โครงสร้างพื้นฐาน, และแอปพลิเคชันใหม่ ๆ
  • การรักษาความปลอดภัยเครือข่าย ผู้ถือโทเค็น ARB มีสิทธิ์เลือก Security Council ซึ่งเป็นกลุ่มคนจำนวนน้อยที่มีอำนาจจำกัดในที่รับมือเหตุฉุกเฉิน เช่น การแก้ไขช่องโหว่ที่สำคัญ หรือการรับมือกับการโจมตีต่าง ๆ