<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

ทรัมป์ดึง Pyth Network-Chainlink ช่วยงานรัฐบาล ส่งราคา PYTH พุ่งทะยาน 70%

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ราคาเหรียญ PYTH ซึ่งเป็นโทเคนของ Pyth Network ได้พุ่งขึ้นอย่างรุนแรงในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา หลังจากมีข่าวยืนยันว่าโครงการได้รับเลือกจากกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐอเมริกา ให้เข้ามาช่วยตรวจสอบและเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการบนบล็อกเชน การเคลื่อนไหวครั้งนี้ถือเป็นการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนเข้ามาเป็นหัวใจของกระบวนการภาครัฐ และเป็นการตอกย้ำถึงบทบาทสำคัญของ Data Oracle

ตามข้อมูลจาก CoinMarketCap ราคาเหรียญ PYTH ได้พุ่งขึ้นไปทำจุดสูงสุดเหนือ 0.20 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากกว่า 70% ภายในวันเดียว ก่อนจะย่อตัวลงมาซื้อขายที่ประมาณ 0.19 ดอลลาร์ หรือยังคงบวกอยู่ราว 62% ในวันนั้น

ราคาพุ่งทะยาน-มูลค่าตลาดทะลุ 1 พันล้านดอลลาร์

การพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงนี้ได้ผลักดันให้ราคา PYTH แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ และทำให้มูลค่าตลาดรวม (Market Capitalization) ทะลุ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐได้สำเร็จ ขณะที่ปริมาณการซื้อขายก็ทะยานขึ้นมากกว่า 2,700% ในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา

PYTH เป็นโทเคนเดียวที่ปรับตัวขึ้นอย่างมหาศาล แม้ว่าในประกาศของกระทรวงพาณิชย์จะยืนยันว่าตัวเลข GDP รายไตรมาสจะถูกเผยแพร่ผ่านบล็อกเชนถึง 9 แห่ง รวมถึง Bitcoin, Ethereum, Solana, Tron, Stellar และ Avalanche และยังได้ระบุชื่อ Chainlink ควบคู่ไปกับ Pyth Network ในฐานะพันธมิตร Oracle คนสำคัญในการเผยแพร่ข้อมูล โดยทั้งสองโครงการจะทำหน้าที่เป็น Oracle เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลที่เผยแพร่โดยรัฐบาลจะถูกส่งต่อไปยังเครือข่ายบล็อกเชนต่างๆ อย่างปลอดภัย

เบื้องหลังดีล ทรัมป์ต้องการความโปร่งใส-ไม่ไว้ใจตัวเลขทางการ

การที่รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หันมาใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน เกิดขึ้นท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักต่อข้อมูลสถิติของรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลตลาดแรงงานที่เผยแพร่โดยสำนักงานสถิติแรงงาน (BLS) ความตึงเครียดนี้ถึงจุดสูงสุดเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาหลังจากการปรับลดตัวเลขการจ้างงานครั้งใหญ่ ซึ่งทำให้ทรัมป์ออกมากล่าวหาว่าตัวเลขดังกล่าวถูก “บิดเบือน” เพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมือง และหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ได้สั่งปลด Erika McEntarfer กรรมาธิการของ BLS

ส่วนหนึ่งของวาระแห่งชาติ ‘โปรคริปโต’

การริเริ่มใช้บล็อกเชนของรัฐบาลครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในวงกว้างที่จะให้ความสำคัญกับการยอมรับและนวัตกรรมด้านสินทรัพย์ดิจิทัล วาระดังกล่าวได้นำไปสู่การผ่านกฎหมาย GENIUS Stablecoin Act, การอนุมัติร่างกฎหมายโครงสร้างตลาดคริปโต และร่างกฎหมายต่อต้าน CBDC ในสภาผู้แทนราษฎรเมื่อเร็วๆ นี้

ในขณะเดียวกัน รัฐบาลทรัมป์ยังได้ดูแลคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) ที่มีท่าทีเป็นมิตรต่อคริปโตอย่างชัดเจน โดยหน่วยงานได้อนุมัติกองทุน Cryptocurrency ETF หลายกองทุน และได้ชี้แจงว่ากิจกรรม Liquid Staking บางประเภทอยู่นอกเหนือขอบเขตอำนาจของตน ซึ่งหมายความว่าไม่ควรถูกกำกับดูแลในฐานะหลักทรัพย์

ที่มา: cointelegraph