ราคา Bitcoin ซื้อขายอยู่ในกรอบแคบๆ เพียง 2.3% นับตั้งแต่การร่วงลงอย่างรุนแรงจากระดับ 112,500 ดอลลาร์สหรัฐเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา การขาดแรงส่งนี้ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากตลาดการเงินของสหรัฐฯ ที่ปิดทำการในวันแรงงาน แต่ข้อมูลจากตลาดตราสารอนุพันธ์ของ Bitcoin กำลังส่งสัญญาณถึงความเชื่อมั่นที่ลดลงต่อแนวรับสำคัญที่ระดับ 108,000 ดอลลาร์
ขณะนี้ค่าพรีเมียมรายปีของสัญญาฟิวเจอร์สรายเดือนของ Bitcoin อยู่ที่ระดับ 7% ซึ่งอยู่ในกรอบที่เป็นกลาง (5% ถึง 10%) และไม่เปลี่ยนแปลงจากสัปดาห์ก่อนหน้า โดยครั้งสุดท้ายที่ตัวชี้วัดนี้แสดงสัญญาณบวกคือเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม หลังจากที่ราคาพุ่งไปที่ 117,000 ดอลลาร์ จากสุนทรพจน์ของ เจอโรม พาวเวล
วาฬเทขาย BTC-เงินไหลออกจาก ETF
ความเชื่อมั่นของนักเทรด Bitcoin ยิ่งแย่ลงไปอีกเมื่อราคาเคลื่อนไหวสวนทางกับทองคำ โดยราคาทองคำปรับตัวขึ้น 2.1% นับตั้งแต่วันศุกร์ ในขณะที่ Bitcoin ร่วงลง 12.5% จากจุดสูงสุดตลอดกาลเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม ทำให้นักลงทุนตั้งคำถามว่าการลดลงครั้งนี้สะท้อนถึงการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในภาพรวม หรือเป็นปัจจัยเฉพาะตัวของ Bitcoin โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ผู้ถือครองระยะยาวบางรายตัดสินใจเทขายทำกำไร
วาฬ Bitcoin รายหนึ่งที่ถือเหรียญมานานกว่า 5 ปี ได้เริ่มโยกย้ายเงินทุนไปยัง Ether ตั้งแต่วันที่ 21 สิงหาคม โดยทำการขาย Bitcoin มูลค่าถึง 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐผ่านแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนแบบกระจายศูนย์ Hyperliquid การเคลื่อนไหวนี้ชี้ให้เห็นถึง “การโยกย้าย” (Rotation) เนื่องจาก Altcoins ดูเหมือนจะได้รับประโยชน์จากการเข้าสะสมขององค์กรต่างๆ ตามความเห็นของ Nicolai Sondergaard นักวิเคราะห์จาก Nansen
นอกจากนี้ กองทุน Spot Bitcoin ETF ในสหรัฐฯ ยังมีเงินทุนไหลออกสุทธิถึง 127 ล้านดอลลาร์ในวันศุกร์ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสัญญาณของความไม่มั่นใจในหมู่นักลงทุน
ตลาดตราสารอนุพันธ์ส่งสัญญาณหมี
ข้อมูลจาก Deribit skew metric แสดงให้เห็นว่า สัญญา Put (ขาย) มีค่าพรีเมียมสูงกว่าสัญญา Call (ซื้อ) ถึง 7% ซึ่งเป็นภาวะที่ไม่สมดุลและมักพบเห็นได้ในตลาดขาลง โดยตัวชี้วัดนี้อยู่เหนือเกณฑ์ที่เป็นกลางที่ 6% มาตลอดทั้งสัปดาห์ สะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มวาฬและผู้ดูแลสภาพคล่องไม่เชื่อมั่นว่าแนวรับที่ 108,000 ดอลลาร์จะสามารถยืนอยู่ได้
ข้อมูลจาก CoinGlass ประเมินว่า หากราคา Bitcoin ร่วงลงต่ำกว่า 107,000 ดอลลาร์ จะมีสถานะ Long ที่ใช้เลเวอเรจมูลค่าถึง 390 ล้านดอลลาร์ต้องถูกล้างพอร์ต
ปัจจัยมหภาค จากวิกฤตพันธบัตรอังกฤษสู่ข้อมูลจ้างงานสหรัฐฯ
ในขณะเดียวกัน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอังกฤษอายุ 20 ปีได้พุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 1998 ซึ่งเป็นสัญญาณว่านักลงทุนคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะแข็งแกร่งขึ้นหรือสกุลเงินในประเทศจะอ่อนค่าลง ซึ่งอาจสร้างแรงกดดันต่อสถานะการคลังของประเทศและอาจลุกลามไปยังยูโรโซนได้
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มระยะสั้นของ Bitcoin น่าจะขึ้นอยู่กับข้อมูลตลาดแรงงานของสหรัฐฯ ที่จะประกาศในวันศุกร์นี้ หากตัวเลขการว่างงานเพิ่มขึ้น อาจกลายเป็นปัจจัยบวกสำหรับสินทรัพย์เสี่ยง เนื่องจากจะเพิ่มแรงกดดันให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ต้องเร่งลดอัตราดอกเบี้ย
ที่มา: cointelegraph