ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ทางฝั่งของการเมืองในประเทศไทยได้มีเรื่องที่กำลังเป็นกระแสใหญ่ที่คนทั่วประเทศต้องจับตา หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ น.ส.แพทองธาร “อุ้งอิ๊ง” ชินวัตร พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 31
ทั้งนี้ ชาวคริปโตอาจเกิดความกังวลขึ้นทันทีว่า นโยบายด้านเศรษฐกิจและสินทรัพย์ดิจิทัลที่รัฐบาลก่อนหน้านี้ผลักดันมา จะยังคงดำเนินต่อไปหรือไม่หากมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลใหม่ ดังนั้นในบทความนี้เราจะพาไปดูกันว่าสถานการณ์อาจเป็นอย่างไรต่อไป
Digital Wallet
เริ่มต้นกันด้วยนโยบายที่เป็นที่ถูกพูดถึงมากที่สุดตัวหนึ่งซึ่งเป็นนโยบายเรือธงของรัฐบาลอย่างโครงการ Digital Wallet 10,000 บาท ปัจจุบันโครงการได้เดินหน้าไปแล้วในสองเฟส โดยเฟสแรกคือ กลุ่มเปราะบางและผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ได้รับเงินไปตั้งแต่ปลายปี 2567 ตามมาด้วยเฟสที่สองคือกลุ่มผู้สูงอายุที่เริ่มจ่ายเมื่อต้นปี 2568
ส่วนเฟสที่สามสำหรับวัยรุ่นอายุ 16–20 ปี ยังคงถูกเลื่อนออกไปแบบไม่มีกำหนด เนื่องจากข้อจำกัดด้านงบประมาณและเศรษฐกิจ แต่ก็ยังไม่ถูกยกเลิกถาวร ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับรัฐบาลใหม่ว่าจะสานต่อหรือปรับเปลี่ยนรูปแบบอย่างไร
ทว่า แต่เดิมโครงการดังกล่าวเคยถูกอ้างว่าจะมีการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ในการแจกจ่ายเงินแต่สุดท้ายเราก็ยังไม่เห็นความคืบหน้าแน่ชัดในส่วนนี้ ทำให้แม้โครงการจะไปต่อ ความหวังที่บล็อกเชนจะถูกนำมาใช้ก็ยังคงมีเพียงน้อยนิดในขณะนี้
Tourist Digipay
ถัดมาคือโครงการ Tourist DigiPay ที่ยังคงเดินหน้าต่อ โดยโครงการนี้จะเป็นโครงการทดสอบการใช้คริปโตสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งมีจุดประสงค์ให้ผู้มาเยือนสามารถแปลงสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเงินบาทผ่านระบบ e-wallet ที่รัฐเป็นผู้ดูแล
จากการสืบค้นในปัจจุบัน ยังไม่มีรายงานว่า Tourist DigiPay จะถูกยกเลิกแต่อย่างใด และจากกำหนดการณ์เดิมโครงการนี้จะเริ่มมีการทดลองใช้จริงในไตรมาส 4 ของปี 2568 โดยทาง ก.ล.ต. และธนาคารแห่งประเทศไทย จะเป็นผู้ร่วมดูแลการทดสอบนี้
ภาษีคริปโต
ด้านมาตรการภาษี ภายใต้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้ทำการอนุมัติ การยกเว้นภาษีกำไรจากคริปโต (Capital Gains Tax) เป็นเวลา 5 ปี โดยมีผลนับตั้งแต่ปีภาษี 2568–2569 ซึ่งมีเงื่อนไขว่าธุรกรรมต้องทำผ่านผู้ประกอบการที่ได้รับใบอนุญาตในประเทศไทยเท่านั้น
กฎหมายนี้ถูกตราและประกาศใช้เรียบร้อยแล้ว ถือเป็นแรงสนับสนุนสำคัญให้ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศ และนโยบายนี้จะยังคงมีผลบังคับใช้ต่อเนื่องจนกว่าจะครบกำหนด หรือจนกว่ารัฐบาลใหม่จะเข้ามาแก้ไข ทำให้นักลงทุนไทยยังคงมั่นใจได้ว่านโยบายนี้อาจยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ขณะเดียวกัน การบังคับใช้กฎหมายต่อแพลตฟอร์มคริปโตต่างชาติที่ไม่มีใบอนุญาต ยังคงดุเดือดเข้มข้น โดยสำนักงาน ก.ล.ต. ได้มีคำสั่งปิดกั้นการเข้าถึงกระดานเทรดรายใหญ่หลายแห่ง เช่น Bybit และ OKX พร้อมดำเนินคดีในข้อหาให้บริการโดยไม่ได้รับอนุญาต แนวทางนี้สะท้อนชัดเจนว่า หากแพลตฟอร์มใดต้องการให้บริการผู้ใช้งานชาวไทย จะต้องขอใบอนุญาตอย่างถูกต้องตามพระราชกำหนดสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งเป็นกรอบกฎหมายที่มีผลใช้มาตั้งแต่ปี 2561 และยังคงดำเนินต่อไป
สรุป
แม้การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจะสร้างความไม่แน่นอน แต่หลายโครงการและนโยบายคริปโตในประเทศไทยยังคงอยู่และเดินหน้าตามกรอบเดิม ไม่ว่าจะเป็นโครงการ Tourist DigiPay มาตรการยกเว้นภาษีกำไร หรือการเข้มงวดต่อแพลตฟอร์มต่างชาติ ส่วนโครงการ Digital Wallet ยังต้องลุ้นท่าทีจากรัฐบาลชุดใหม่ ว่าจะเดินหน้าตามสัญญา หรือปรับโครงสร้างให้เหมาะสมกับสถานการณ์การคลังและเศรษฐกิจที่แท้จริงต่อไป

